FEATURESMovie Features

จากวันนั้น ถึงวันนี้ ของหนังจากนิยาย Young Adult

จากเรื่องราวของฮอกวอร์ท มาจนถึงพาเน็ม และโลกในอนาคตที่ผู้คนถูกแบ่งแยกหน้าที่ชัดเจน

จาก Harry Potter มาจนถึง The Hunger Games และ Divergent

นิยายในแบบผู้ใหญ่วัยเยาว์ หรือ Young Adult กลายเป็นขุมทอง ขุมใหม่ของฮอลลีวูด ที่ตอนนี้ไล่กว้านซื้อนิยายฮิตๆ และน่าจะฮิตทางนี้เอาไว้ในมือ เพื่อนำไปดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ ซึ่งเควิน ฮาร์ลีย์ จากนิตยสารโททัล ฟิล์มของอังกฤษ ได้วิเคราะห์ และตรวจสอบ ถึงความสำเร็จ ล้มเหลว ของหนังในแนวทางนี้ และนี่คือสิ่งที่เห็น และเป็นไปในโลกของหนังจากนิยาย Young Adult

การได้รู้ว่าการสิ้นสุดของธุรกิจที่ทำเงินทำทองที่ดูจะเว่อวังเกินเหตุ เป็นเพียงข่าวลือ ถือเป็นสาเหตุสำหรับการแสดงความยินดีในฮอลลีวูดได้ นึกถึงตอนที่เอลเลียตต์ได้รู้ว่า หัวใจของอีทียังส่องแสงอยู่ยังไงยังงั้น ความรู้สึกถึงความสุขที่เกิดขึ้นก็ประมาณๆ กัน เมื่อได้เห็นตัวเลขเปิดตัวในอเมริกาของหนัง The Maze Runner ดูแข็งแรงถึง 32.5 ล้านเหรียญ และรายได้เปิดตัวทั่วโลกสูงถึง 81 ล้านเหรียญ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ตลาดของหนังผู้ใหญ่วัยเยาว์ที่ยากไม่ใช่เล่น ยังคงมีความสำเร็จให้กับผู้กล้าเสมอ

maze runner bookหนังสือของเจมส์ แดชเนอร์ ที่ผู้กำกับเวส บอลล์ ดัดแปลงขึ้นจนนั้น ไม่ใช่งานที่รู้จักกันดี หรือเป็นงานฮิตแบบ The Hunger Games, Twilight และ Harry Potter แล้วก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จในระดับเดียวกับ Divergent หนังโลกในอนาคตที่เสื่อมโทรม ที่ไชลีน วูดลีย์เล่น ซึ่งเปิดตัวถึง 56 ล้านเหรียญเมื่อเดือนมีนาคม จนทำให้นิตยสาร เดอะ ฮอลลีวูด รีพอร์เตอร์ ถึงกับบอกว่า หนังของนีล เบอร์เกอร์ ที่ดัดแปลงจากนิยายของเวโรนิกา ร็อธ เรื่องนี้ ‘ทำลายคำสาป’ ของหนังผู้ใหญ่วัยเยาว์ได้สำเร็จ

คำสาปที่ว่าเล่นงานหนังอย่าง Vampire Academy และ The Host รวมไปถึงทำให้ความเห็นของมือเขียนบทระดับตำนาน วิลเลียม โกลด์แมน ที่มองถึงการเล่นพนันของฮอลลีวูดกับสิ่งที่เป็นกระแสว่า “ไม่มีใครรู้อะไร” ถ้าคิดถึงสูตรสำเร็จสำหรับหนังฮิต ความคิดที่เกิดขึ้นก็คงเป็น ก็แค่ลงทุนไปกับนิยายผู้ใหญ่วัยเยาว์

ความสำเร็จของ The Maze Runner, Divergent และงานที่ดูแตกต่างจากเรื่องอื่นๆ The Fault in Our Stars ทำให้ความคิดที่ว่ากระจ่างชัดมากขึ้น การขุดค้นหาขุมทองของนิยายสไตล์นี้ยังคงดำเนินต่อไป ถึงแม้จะยังคงมีคำถามหนึ่งที่ยังไม่ถูกตอบ ทำไมการดัดแปลงนิยายผู้ใหญ่วัยเยาว์ มันถึงยากจะประสบความสำเร็จ?

เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ความพยายามเหล่านี้ยังดำเนินต่อไป มาจากรายได้ 7.7 พันล้านเหรียญ หนังชุด Harry Potter ยังคงเป็นงานที่เป็นกรณีศึกษา เมื่อรายได้ของหนังสร้างหอคอยตั้งตระหง่านขึ้นมา เรื่องเล่าถึงบรรดาพ่อมดเด็กเรื่องๆ นี้ ได้สร้างปัจจัยหรือองค์ประกอบที่เป็นความหมายของนิยายผู้ใหญ่วัยเยาว์

จริงๆ แล้ว เรื่องแบบผู้ใหญ่วัยเยาว์ไม่ใช่แนวทาง เป็นเพียงแค่ป้ายขยายความของแนวทางต่างหาก รวมไปถึงไม่ต้องการกำหนดกลุ่มคนอ่านด้วยซ้ำ จากการสำรวจในอเมริกาพบว่า คนอ่านนิยายแบบนี้ มีถึง 55% ที่อายุมากกว่า 18 ปี ขณะที่ครึ่งหนึ่งของผู้ชมที่เข้าไปดู The Hunger Games อายุมากกว่า 25 ปี ซึ่งถือว่าแก่งั่กก็ว่าได้

แต่มีอย่างหนึ่งที่ชัดเจน นิยายผู้ใหญ่วัยเยาว์จะมีตัวละครเอกเป็นหนุ่ม-สาว ที่กำลังเติบโตในช่วงเวลาที่ยากลำบาก อาจจะเจอกับการทดสอบ, ผู้ใหญ่แย่ๆ และต้องการที่จะเอาชนะ แล้วตัวละครหนุ่ม-สาวเหล่านี้ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องดึงความสนใจได้มากมาย หากเป็นเรื่องของความ ‘เหมาะสม’ หรือตัวผู้เขียนที่จะทำหน้าที่นี้ เป็นเจเค โรว์ลิง, เป็นซูซานน์ คอลลินส์, เป็น สเตฟานี เมเยอร์ หรือ จอห์น กรีน

Harry-Potter-Sorcerers-Stoneจังหวะเวลาก็เป็นสิ่งสำคัญ การผสมผสานระหว่างการรับรู้ก่อนหน้า และการสร้างโลกของแฟนๆ ให้เกิดขึ้นถือเป็นไม้เด็ดในการประชาสัมพันธ์ หนัง Harry Potter and the Philosopher’s Stone ออกฉายในช่วงเวลาที่สามารถจับคนอ่าน ซึ่งก็รวมไปถึงคนที่อายุเกิน 25 ปีด้วย ที่กำลังตื่นเต้นกับโทนของเรื่องที่หม่นมากขึ้น ระหว่างหนังสือเล่มที่ 4 และ 5 ด้วยรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น ฮอลลีวูดจึงประกาศเจตนารมย์ออกมาอย่างชัดเจน ‘ตอกย้ำความสำเร็จ’

กับการออกฉายในช่วงเดียวกับ The Lord of the Rings และ Harry Potter มีอิทธิพลในการกระตุ้นให้เกิดคลื่นแห่งความล้มเหลวในศตวรรษที่ 21 ของหนังผู้ใหญ่วัยเยาว์ ซึ่งมาพร้อมกับเรื่องราวในแบบมหากาพย์, การออกแบบงานสร้างที่ดูอู้ฟู่, ตัวละครเด็กๆ ที่แสนกล้าหาญ, ผู้ใหญ่ที่อายุเกิน 25 ปีขึ้นไป ที่ทำหน้าที่ปกครองอย่างโหดร้าย, ความรุนแรงในหนังระดับแค่เรท พีจี และตัวละครที่มีรูปแบบชัดเจน อย่างที่เห็นใน Eragon, The Chronicles of Narnia, The Golden Cmpass, Percy Jackson and the Lightning Thief, bridge to Terabithia และ The Spiderwick Chronickes ซึ่งหวังว่าตัวเองจะมีพลังแบบ The Lord of the Rings และมีมนตร์สะกดเหมือน Harry Potter แต่กลับฝืดสนิท เหตุผลที่ใช้อธิบายว่า ‘เพราะอะไร’ มีหลากหลายและแตกต่างกันไป เช่น เป็นเรื่องศาสนาเกินไปในกรณีของ Narnia, งานหยาบเกินไป ในกรณีของ Eragon แต่ตัวอย่างที่น่าเศร้าที่สุด สำหรับความล้มเหลวของหนังผู้ใหญ่วัยเยาว์ก็คือ The Golden Compass ภาคแรกในการดัดแปลงนิยายชุด His Dark Materials Trilogy ของฟิลิป พูลล์แมน

นักแสดงแซม เอลเลียตต์ ให้ความเห็นว่าหนังชุดนี้ถูกฆ่าโดยการประท้วงของทางแคธอลิค ทั้งๆ ที่หนังก็ไม่ได้มีเรื่องราวทางศาสนาชัดเจนมากพอ ซึ่งเอาเข้าจริงๆ เหตุผลอาจจะง่ายกว่านี้ ‘ผิดเวลา’ หนัง The Philosopher’s Stone ออกฉายในช่วงเวลาที่เหมาะสม และทำแบบให้เกียรติหนังสือ ส่วน The Golden Compass ออกฉายหลังหนังสือจบไปแล้วถึง 7 ปี แล้วยังตัดตอนจบออก นักวิจารณ์ตอบรับหนังด้วยคะแนน 42% ในเว็บมะเขือเน่า ส่วนคนดูจ่ายตังค์ให้ 300 ล้านเหรียญ โดยเป็นรายได้ในสหรัฐอเมริกาแค่ 70 ล้านเหรียญ ทำให้นิว ไลน์ถึงกับเลือดไหลโชก เพราะขายขาดสิทธิ์การจัดจำหน่ายในต่างประเทศไปแล้ว

สำหรับผู้กำกับ คริส ไวท์ซ บทเรียนที่เจ็บแสบที่ได้เรียนรู้ก็คือ การทำงานกับสตูดิโอ ความหวังที่ยิ่งใหญ่สำหรับการที่จะมีหนังภาคต่อฮิตๆ ในมือ มาพร้อมกับความเสี่ยงจากการยื่นมือเข้ามาวุ่นวาย ด้วยความกระวนกระวายของสตูดิโอ “ผมไม่ได้ทำหนังที่ผมวางแผนไว้ว่าจะทำ” เขากล่าว “ตอนที่ผมดูหนังที่ถ่าย, นักแสดง และฉากต่างๆ ผมมีความสุขมากๆ แต่สำหรับงานที่ออกมาในขั้นนตอนสุดท้าย ผมไมสามารถรับประกันอะไรได้” สาเหตุคือ? “ผมได้เรียนรู้ว่า คุณต้องทำข้อตกลงกับสตูดิโอเกี่ยวกับหนังที่คุณทำ ตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการสร้างงาน”

new moon bookแต่เขาก็ทำตัวไม่ต่างไปจากฮอลลีวูด ความล้มเหลวที่ได้รับ ไม่ได้ทำให้ไวท์ซถอยห่างหนังผู้ใหญ่วัยเยาว์ เขากลับมากำกับ New Moon ภาคต่อของ Twilight ซึ่งจับคู่กับ The Hunger Games ในการเริ่มต้นกระแส 2 คู่แข่งหนัง Young Adult แห่งยุค 2000s

ไม่ว่าจะรักหรือเกลียด Twilight เหตุผลสำหรับความสำเร็จของหนังชุดนี้ชัดเจนว่า อยู่ที่เสน่ห์ยั่วยวนของเรื่องราวบนหน้าหนังสือซุบซิบดารา ของโรเบิร์ท แพททินสัน และคริสเตน สจวร์ท นักวิจารณ์ไม่ใช่แฟนของหนังเรื่องนี้ แอนน์ บลิสสัน ถึงกับประกาศว่า “ฉันเป็นทีมบัฟฟี ไม่ใช่ทีมเบลลา” แล้วมองว่าหนังเรื่องนี้ “เป็นความฝันเฟื่องทางเพศสำหรับสาววัยรุ่น” ในตลาดของหนังแฟนตาซี ที่ไม่ได้มีเรื่องแบบนี้บ่อยนัก และสำหรับไวท์ซ ‘ความเกี่ยวพัน’ เป็นคำเฉพาะสำหรับคนดูหญิงและชาย “สถานการณ์ของเบลลา เป็นหนึ่งในสิ่งที่ผมมีปฏิกริยากับมัน พูดจริงๆ นะ” เขากล่าว “มันฟังดูน่าเศร้า แต่ผมเจอแบบที่เบลลาเจอ… ถูกทิ้ง”

หนังชุด The Twilight ไม่ได้รับความนิยมจากนักวิจารณ์ ได้คะแนนแค่ 24-49% ที่เว็บมะเขือเน่า แต่ไม่ใช่กับอันดับหนังทำเงิน เมื่อหนังทั้งห้าเรื่องทำเงินรวมกันมากถึง 3.3 พันล้านเหรียญ ไม่ว่าทีมแคทนิสส์จะชอบหรือไม่ก็ตาม ก็ต้องยอมรับว่า ความสำเร็จของ Twilght เป็นการแผ้วถางทางให้กับ The Hunger Games แม้จะแตกต่างจาก Twilight หากก็มีกฏพื้นฐานไม่ต่างกัน ตัวละครที่เกี่ยวข้องกับผู้คน, เพลงประกอบในแบบป็อป และตัวเอกหญิงที่ตกอยู่ในสถานการณ์มะรุมมะตุ้มรุมรักจากหนุ่มสองคน

กับเรื่องราวที่ได้รับแรงบันดาลใจจากทีวีภาคดึก ที่สลับช่องไป-มาระหว่างรายการเรียลิตี และการนำเสนอข่าวอิรัค นิยายของซูซานน์ คอลลินส์ นำเอาพลัง, อันตราย และตัวละครที่ซับซ้อน มาใส่ในนิยายผู้ใหญ่วัยเยาว์ได้อย่างน่าสนใจ เมื่อรวมกับการเอาประสบการณ์ของพ่อ ที่เคยไปรบที่เวียตนามใส่ลงมา เธอทำให้โลกในนิยายของเธอมีน้ำหนัก มีตัวตนของตัวเอง และไม่ใช่เป็นแค่ฉากหลังสำหรับการเปรียบเปรยถึงวัยหนุ่ม-สาว “ฉันไม่ได้เขียนเรื่องเกี่ยวกับพวกวัยรุ่น” เธอกล่าว “ฉันเขียนเกี่ยวกับสงคราม สำหรับคนหนุ่มคนสาว”

คอลลินส์ไม่เคยพูดถึงคนอ่าน หรือผู้กำกับของหนัง นี่คืองานชิ้นแรกของแกรี รอสส์ ผู้กำกับที่มีหนังอย่าง Pleasantville และ Seabiscuit อยู่ในเครดิต ซึ่งตระหนักอยู่เสมอว่าเขาต้องเลือกแคทนิสส์ให้ถูกต้อง และเขาก็เลือกนักแสดงหน้าใหม่ ที่มีเครดิตจากหนังอินดี เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ มารับบท “ผมสัญญากับแฟนตัวจริงทุกคนของ The Hunger Games ว่า เราสามารถจัดการกับเรื่องสีผมของเจนนิเฟอร์ได้อย่างง่ายดาย” เขาบอกกับคนที่ลังเลในตัวนักแสดงสาวที่ถูกเลือก แล้วมือเขียนบทที่เยี่ยมยอดก็ถูกจ้างเข้ามา ซึ่งในจำนวนนั้นก็คือ บิลลี เรย์ จาก State of Play (โดยใน Catching Fire เป็น ไซมอน โบฟอย) นอกจากนี้รอสส์เองก็รับรู้ถึง คุณค่าของแรงดึงดูดที่คอลลินส์มีต่อแฟนๆ “ผมอยากให้เธออยู่ในกองถ่ายมากเท่าที่จะมากได้” เขาเล่า “ผมอยากให้เธออยู่ข้างๆ ผมทุกๆ วัน”

The Hunger Gamesเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หนังซึ่งออกฉายทีหลัง Twilight และ the Hunger Games ขาดหมัดเด็ดในแบบเดียวกัน ก็อาจจะเป็นเพราะ เจ้าของนิยายผู้ใหญ่วัยเยาว์ที่ถูกสร้างเป็นหนังรายอื่นๆ ไม่มีอิทธิพลในแบบที่คอลลินส์มี ออร์สัน สก็อทท์ คาร์ด ยากที่จะช่วยเกวิน ฮูดทำงานในการดัดแปลง Ender’s Game ขึ้นจอ เพราะความเห็นที่ต่อต้านการแต่งงานกันของชาวเกย์ทั้งหลาย กระทั่งต่อกันติดกับสเตฟานี เมเยอร์ได้ แต่ก็ไม่ได้ช่วยหนัง The Host ที่แอนดรูว์ นิคคอลกำกับจากนิยายของเมเยอร์ ซึ่งเป็นเรื่องของปรสิตต่างดาว ที่มาเข้าสิงร่างของมนุษย์ ที่คว่ำเรียบร้อยเมื่อทำเงินเพียงแค่ 63 ล้านเหรียญ

แต่ก็ยังมีเรื่องของผู้กำกับให้ตำหนิเช่นกัน เพราะหลายๆ คน ดูเหมือนว่า เป็นชื่อที่ต้องการงานฮิตๆ มากกว่าจะเป็นบรรดาผู้กำกับเกรดเอซะอีก กับนิคคอล ก่อนหน้านี้เขาอาจจะดูเหมาะ ตอนทำ Gattaca ที่ผ่องมาก แล้วก็หมองไปเยอะกับ In Time ส่วน มาร์ค เอส วอเตอร์ส ถึงจะเคยทำ Mean Girls แต่เขาก็ทำหนังพลาดเป้ามาเพียบ เช่น Ghosts of Girlfriends Past, Mr. Pepper’s Penguins ก่อนจะมาถึง Vampire Academy ไม่ว่าจะเก่งกาจขนาดไหน พวกเขาก็ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับรอสส์ หรืออัลฟองโซ คัวรอง ที่พาหนังชุด Harry Potter ไปถึงจุดพีคด้วยตอน The Prisoner of Azkaban อีกองค์ประกอบหนึ่งก็คือคนดู ที่อาจจะดูหนังแวมไพร์ฝันเฟื่องมาจนถึงเรื่องล่าสุดเป็น 20 เรื่องเข้าไปแล้ว และนั่นก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ ที่หนังโรแมนติค แฟนตาซี ที่ออกฉายหลัง Twilight

ต่อให้เรื่องราวในโลกอนาคตที่หม่นมืดของ The Hunger Games ให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างที่เห็น มันก็ยังมีสัญญาณเตือนมาจากหนังที่เคาะตัวละครมาจากแคทนิสส์ เช่น The Giver ผลงานของผู้กำกับฟิลลิป นอยซ์ ที่ดัดแปลงมาจากนิยายของโลอิส โลวรี ซึ่งว่าด้วยเรื่องของความสอดคล้อง และการเป็นปัจเจก หนังทำเงินทั่วโลกน้อยกว่ารายได้ในสัปดาห์เปิดตัวของ Divergent งานนี้พิสูจน์ให้เห็นกันเลยว่า ต่อให้ทำทรงผมดาราอย่าง เมอรีล สตรีพออกมาได้อย่างน่าสนใจ ในหนังที่ฉากหลังเป็นโลกในความเสื่อมทราม ก็ไม่ได้ทำให้หนังกลายเป็น The Hunger Games เรื่องใหม่ขึ้นมาได้

the-maze-runnerแต่ The Maze Runner ที่นำเสนอเรื่องราวของตัวละครหนุ่มๆ ในโลกแบบเดียวกันออกมาได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ทำคะแนนได้ดีกว่า โดยได้แรงส่งจาก ความง่ายในการเข้าถึง, ดูโหด, สด กับการจับเอากลุ่มเด็กๆ ไปอยู่ที่ไหนสักแห่ง แล้วก็มีฉากเท่ๆ กับสัตว์ประหลาดที่น่ากลัว ส่วน Divergent ก็มีเรื่องราวถึง 3 ภาค แต่ก็ยังไม่โดนคนดูเข้าจังๆ ผู้เขียนบท อะกิวา โกลด์สแมน (จาก Batman & Robin, The Da Vinci Code) กับผู้กำกับ โรเบิร์ท ชเวนเก (R.I.P.D.) จะต้องทำงานที่ทำให้คนดูศรัทธาใน Insurgent

เพิ่มเติมจากเบเวอร์ลี โฮโรวิทซ์ มุมมองที่เปลี่ยนไปกำลังจะเกิดขึ้นในหนังผู้ใหญ่วัยเยาว์ “เรื่องราวจะไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกอนาคต ที่เราสูญเสียการควบคุม แล้วต้องต่อสู้เพื่อเอาตัวเองให้รอด เราจะกลับไปหาเรื่องที่เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ และอะไรที่เรามักจะอ่านกัน เรื่องชีวิตประจำวัน แต่เป็นชีวิตประจำวันที่ต้องเพิ่มระดับขึ้นไป” เธอกล่าว “มันเป็นชีวิตประจำวันที่เพิ่มระดับไปจนถึงขีดสุด แล้วคุณจะต้องเอาตัวให้รอดจากชีวิตประจำวันที่คุณรู้จักมันดีให้ได้”

the fault in our stars bookดูเหมือนเธอจะพูดถูก หากดูจาก The Fault in Our Stars งานที่ดัดแปลงมาจากนิยายของจอห์น กรีน ซึ่งเป็นเรื่องของคู่รักหนุ่ม-สาวที่ป่วยเป็นมะเร็ง หนังใช้ทุนสร้างแค่ 12 ล้านเหรียญ แต่หนังที่กำกับโดยจอช บูนฟันเงินสุทธิไปถึง 301 ล้านเหรียญทั่วโลก ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากพอจะทำให้ฮอลลีวูดมองข้ามความล้มเหลวของหนังเรื่องราวของคนธรรมดาๆ (ที่มีเรื่องแฟนตาซี ของชีวิตหลังความตายเข้ามาเกี่ยวข้อง) แบบผู้ใหญ่วัยเยาว์ ที่ได้โคลอี เกรซ มอเรทซ์ แสดงนำ และดัดแปลงจากนิยายของเกย์ล ฟอร์แมน If I Stay

แต่ก็เป็นแค่มีพื้นที่ที่เป็นไปได้สำหรับความแตกต่าง ไม่ใช่เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด หนังสามภาคของ Divergent ก็น่าจะแสดงนัยอะไรให้เห็นได้อยู่ บทสรุปของ the Hunger Games จะเป็นสาเหตุให้ใครบางคนต้องเกาหัวยิกๆ เพื่อมองหาหนังภาคต่อที่ฮิตได้ในระดับเดียวกัน และไลออนเกทส์ก็คว้าสิทธิ์มนนิยายที่ว่าด้วยพลังระดับสุดยอดเรื่อง The Wonder of All ของ เจสัน ม็อทท์มาไว้ในมือแล้ว ฟ็อกซ์เองก็คาดหวังถึงความมั่นคงจาก The Scorch Trials ภาคต่อของ The Maze Runner ซึ่งวางกำหนดฉายเอาไว้แล้ว แต่กว่าจะถึงวันนั้น ระหว่างทางของเวลา ก็ย่อมจะมีผู้แพ้ปรากฏให้เห็น ให้รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ แต่เชื่อเถอะถึงจะเป็นอย่างนั้น ตลาดของหนังผู้ใหญ่วัยเยาว์ก็ยังจะเดินหน้า ดำเนินต่อไป ไม่เปลี่ยนแปลง

จากเรื่อง จากวันนั้น ถึงวันนี้ ของหนังจากนิยาย Young Adult โดย ฉัตรเกล้า นิตยสารเอนเตอร์เทน ฉบับที่ 1175 วันที่ 1 มกราคม 2558

สามารถกดไลค์ Like เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่

What is your reaction?

Excited
0
Happy
0
In Love
0
Not Sure
0
Silly
0
Sadaos
พบข่าวสารจากวงการหนัง-เพลง ภาพสวยของดาราสาว, วิจารณ์-แนะนำ งานเพลง, ภาพยนตร์ และรับสั่งซื้อ CD/ DVD ทั้งในและต่างประเทศ. Sadaos Is entertainment news page and online shop for people who love movie and music. We sell many entertainment items like used and new DVD, CD, postcards, accessory, souvenirs.

You may also like

More in:FEATURES

Comments are closed.