แกะกล่องหนังแผ่นวันนี้ จะงดแกะกล่องหนึ่งฉบับ พร้อมกับนำเอาเรื่องราวของยอดขายของดีวีดี และบลู-เรย์ในอเมริกาเมื่อปีที่ผ่านมา มาเล่าสู่กันฟัง ว่ากับความบีนเทิงในบ้านแล้วหนังเรื่องไหน ที่กลายเป็นขวัญใจของคนในครอบครัว และฟอร์แม็ทของสินค้าแบบไหนที่ยังครองใจผู้ชม
โดยเจ้าของความบันเทิงในบ้านของอเมริกาเมื่อปีที่ผ่านมาก็คือ แอนิเมชัน Frozen ที่ทำให้ค่ายวอลท์ ดิสนีย์ กลับมาทวงคืนความยิ่งใหญ่ในตลาดนี้ได้สำเร็จ หลังเป็นรองบริษัทลูกอย่างพิกซาร์ และมีตัวแซะอย่างดรีมเวิร์คส์ แอนิเมชัน กับอีกหลายๆ บริษัทมาทำให้รัศมีของเจ้าตำรับหนังแอนิเมชันต้องหมองไปไม่ใช่น้อย
โดยดีวีดีของแอนิเมชันเรื่องนี้ขายไปถึง 11 ล้านแผ่น มากกว่าอันดับ 2 หนัง The Hunger Games: Catching Fire ประมาณ 8 ล้านแผ่น แล้วกับตลาดบลู-เรย์ Frozen ก็ทำยอดขายทิ้งห่างอันดับ 2 แบบไม่เห็นฝุ่นเช่นกัน โดยสามารถขายไปได้ 7 ล้านกว่าแผ่น ชนะอันดับ 2 ซึ่งเป็นหนังในเครือเดียวกัน Guardians of the Galaxy อยู่ราวๆ 4 ล้านแผ่น ซึ่งถือว่าเป็นความสำเร็จอย่างมากของแอนิเมชันเรื่องนี้ ที่ยืนหยัดขายได้ยาวนาน
แล้วหากมองหนังของทั้ง 2 ฟอร์แม็ท จะเห็นได้ชัดว่า สำหรับความบันเทิงในครอบครัว หนังสำหรับครอบครัว หรืองานแอนิเมชัน รวมไปถึงหนังซูเปอร์ฮีโร และแฟนตาซี คือสินค้าหลัก ใน 10 เรื่องของดีวีดี จะมีหนังที่ไม่อยู่ในกลุ่มนี้เพีียง 2 เรื่องเท่านั้น ก็คือ The Hunger Games: Catching Fire และ Divergent ในส่วนของบลู-เรย์ ไม่มีเลยที่หนังในแนวทางอื่นๆ นอกจากที่ว่ามา จะสอดแทรกเข้ามาได้ ที่น่าสนใจก็คือ ตลาดความบันเทิงในบ้าน ดีวีดียังคงครองตลาดอยู่ เมื่อดูจากจำนวนแผ่นที่ขายออกไป แต่กับรายได้แล้ว แม้จะขายได้น้อยกว่า แต่ด้วยรายได้ต่อแผ่นที่สูงกว่า ก็ทำให้รายได้ของแผ่นบลู-เรย์นั้นมาเป็นกอบเป็นกำ
อย่างหนัง The Hunger Games: Catching Fire แม้ดีวีดีจะทำยอดขายได้ถึง 3 ล้านกว่าแผ่น แต่รายได้ก็เก็บมาเพียง 54 ล้านเหรียญ ซึ่งน้อยกว่าบลู-เรย์ที่ขายได้เงิน 57 ล้านเหรียญ ทั้งๆ ที่ทำยอดได้แค่เกือบๆ 3 ล้านแผ่น
จากตัวเลขที่เห็นแบบนี้ จากที่เคยมีการคาดกันว่า ตลาดดีวีดีจะหดตัวลงไป และมีบลู-เรย์ เข้ามาแทนนั้น อาจจะไม่เป็นไปอย่างที่คิด ไปๆ มาๆ ตลาดของสินค้าทั้ง 2 ประเภทจะยังคงอยู่คู่กันไปอีกนาน โดยที่ยังมีตลาดของการขายดาวน์โหลด และสตรีมมิงให้เล่นอีก 2 ตลาด ซึ่งเป็นไปได้ว่าน่าจะโตขึ้น ตามเทคโนโลยีที่พัฒนาไปเรื่อยๆ ซึ่งหากมีตัวเลขตรงนี้มา ก็คงจะนำมาบอกกล่าวเล่าสิบกันต่อไป
10 อันดับดีวีดีขายดีในอเมริกาปี 2014
1. Frozen (11,034,558 แผ่น / 185,483,063 เหรียญ)
2. The Hunger Games: Catching Fire (3,405,601 แผ่น / 54,924,966 เหรียญ)
3. The Lego Movie (3,124,841 แผ่น / 44,742,785 เหรียญ)
4. Despicable Me 2 (2,458,947 แผ่น / 34,813,230 เหรียญ) 5. The Hobbit: The Desolation of Smaug (2,325,948 แผ่น / 34,678,844 เหรียญ)
6 Guardians of the Galaxy (2,161,221 แผ่น / 30,672,845 เหรียญ) 7. How to Train Your Dragon 2 (1,917,230 แผ่น / 27,681,795 เหรียญ) 8. Teenage Mutant Ninja Turtles (1,843,240 แผ่น / 25,276,752 เหรียญ) 9. Maleficent (1,829,924 แผ่น / 29,803,385 เหรียญ) 10. Divergent (1,741,810 แผ่น / 27,649,819 เหรียญ)
10 อันดับบลู-เรย์ขายดีในอเมริกาปี 2014
1. Frozen (7,247,942 แผ่น / 153,238,247 เหรียญ) 2. Guardians of the Galaxy (3,644,741 แผ่น / 75,566,773 เหรียญ)
3. The Hunger Games: Catching Fire (2,911,891 แผ่น / 57,434,923 เหรียญ)
4. The Hobbit: The Desolation of Smaug (2,445,916 แผ่น / 62,970,995 เหรียญ)
5. Teenage Mutant Ninja Turtles (2,287,051 แผ่น / 69,155,670 เหรียญ)
6 Transformers: Age of Extinction (2,124,061 แผ่น / 36,334,049 เหรียญ) 7. How to Train Your Dragon 2 (2,108,372 แผ่น / 41,720,161 เหรียญ) 8. Maleficent (2,085,357 แผ่น / 42,860,092 เหรียญ) 9. The Lego Movie (1,856,073 แผ่น / 64,397,595 เหรียญ) 10. Thor: The Dark World (1,808,079 แผ่น / 35,966,995 เหรียญ)
จากเรื่อง ดีวีดี และบลู-เรย์ ขายดีที่สุดในสหรัฐ อเมริกา ประจำปี 2014 โดย นายสะเด่าส์ คอลัมน์ แกะกล่องหนังแผ่น นิตยสารเอนเตอร์เทน ฉบับที่ 1179 ปักษ์แรก มีนาคม 2558
สามารถกดไลค์ Like เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่