
“มันยาวเป็นชาติเลยนะ! ตั้งหกนาที!” เรย์ ฟอสเตอร์ ผู้บริหารค่ายเพลงอีเอ็มไอ ตัวละครที่แต่งขึ้นมาในหนัง Bohemian Rhapsody บอกกับสมาชิกวง Queen ถึงเพลงซึ่งพวกเขาอยากให้เป็นซิงเกิลแรกของอัลบัม A Night at the Opera เมื่อปี 1975
“ผมสงสารเมียคุณจริงๆ ถ้าคุณคิดว่าหกนาทีมันนานเป็นชาติ” เฟร็ดดี เมอร์คิวรีในเรื่องกล่าว
“จำไว้นะ” ฟอสเตอร์พูดขึ้น “จะไม่มีใครเล่นเพลงของควีน”
เพลงนี้ถูกตัดเป็นซิงเกิลปลายเดือนตุลาคม 1975 และขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ตซิงเกิลของอังกฤษถึง 9 สัปดาห์ ขายได้กว่าล้านก็อปปีเมื่อถึงเดือนมกราคม 1976 ที่น่าตลกก็คือ เพลงที่เขี่ย “Bohemian Rhapsody” หล่นลงมาก็คือ “Mama Mia” ของ Abba ซึ่งในเพลง “Bohemian Rhapsody” มีเนื้อร้องที่ว่า “Oh mama mia, mama mia, mama mia let me go.” เพลงนี้กลับมาขึ้นอันดับ 1 ในปี 1991 อีก 5 สัปดาห์ หลังการจากไปของเมอร์คิวรี ก่อนจะกลายเป็นซิงเกิลขายดีตลอดกาลอันดับ 3 บนเกาะอังกฤษ รวมทั้งเป็นเพลงเดียวจากศิลปินคนเดิมที่ขึ้นอันดับ 1 ช่วงคริสต์มาสถึงสองหน และเป็นหนึ่งในซิงเกิลขายดีตลอดกาลทั่วโลกด้วยยอดขายกว่า 6 ล้านก็อปปี
โรเจอร์ เทย์เลอร์ เล่าว่า “บริษัทแผ่นเสียงทั้งสองฝั่งแอตแลนติกอยากตัดเพลง พวกเขาบอกมันยาวไปและไม่มีทางทำงานได้ เราคิดว่า ‘เราน่าจะตัดมันนะ แต่มันคงเป็นเพลงที่ไม่ได้เรื่องได้ราว’ นี่เป็นวิธีการที่ฟังไม่เข้าท่าในทุกวันนี้ และคงน้อยลงไปอีกในตอนนั้น คุณจะพลาดทุกอารมณ์ที่แตกต่างของเพลง พวกเราเลยบอกว่า ‘ไม่’ มันอาจจะไปได้หรือไม่ได้ก็ได้ เฟร็ดดีคือกระดูกสันหลังของเพลง กระทั่งการวางท่อนประสาน เขาแต่งเพลงลงบนสมุดโทรศัพท์ กระดาษชิ้นเล็กๆ เพราะฉะนั้นมันเลยไม่ง่ายที่จะเก็บท่อนไหนไว้”
ควีนต้องทำวิดีโอสำหรับเพลงนี้เพื่อใช้ออกอากาศในรายการต่างๆ เพราะตัวเพลงซับซ้อนเกินกว่าจะเล่นสด หรือเล่นให้ได้เหมือนแผ่น และในเวลาต่อมาตัววิดีโอก็ได้รับการพูดถึงโดยนิตยสารโรลลิง สโตนว่า “คงไม่เป็นการกล่าวเกินจริง ว่านี่คือการสร้างมิวสิค วิดีโอ ก่อนหน้าที่เอ็มทีวีจะเริ่มออกอากาศถึง 7 ปี” ส่วนเดอะ การ์เดียน ให้มิวสิค วิดีโอ “Bohemian Rhapsody” เป็นหนึ่งใน 50 เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์เพลงร็อค โดยบอกว่า เพลงนี้ทำให้มั่นใจได้ว่า “วิดีโอจะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญทางการตลาดของธุรกิจเพลงนับจากนี้”
เฟร็ดดี เมอร์คิวรีแต่ง “Bohemian Rhapsody” ที่บ้านในลอนดอน โดยรอย โธมัส เบเคอร์ โปรดิวเซอร์เพลงนี้เล่าว่า เมอร์คิวรีเคยเล่นท่อนเปิดที่เป็นงานบัลลาดด้วยให้เขาฟัง “เขาเล่นตอนเริ่มเพลงด้วยเปียโน แล้วก็หยุดก่อนบอกว่า ‘นี่คือช่วงที่เป็นโอเปราเข้ามา!’ จากนั้นเราก็ไปดินเนอร์กัน” ไบรอัน เมย์ มือกีตาร์บอกว่า โครงสร้างในเพลงนี้ของเมอร์คิวรี “น่าค้นหา มีความเป็นต้นแบบ และเป็นงานที่ทรงคุณค่า” ก่อนเสริมด้วยว่า เพลงส่วนใหญ่ของควีนมักแต่งในสตูดิโอ แต่เพลงนี้ “ทุกอย่างอยู่ในหัวของเฟร็ดดี” ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มงาน และเขากำกับการทำงานตลอดการบันทึกเสียง
คริส สมิธ มือคีย์บอร์ดส์วง Smile (ที่กลายเป็นควีนในเวลาต่อมา) ซึ่งเป็นเพื่อนกับเมอร์คิวรีเล่าว่า เมอร์คิวรีเริ่มแต่งเพลงนี้ช่วงปลายยุค 60 โดยเล่นส่วนต่างๆ ของเพลงด้วยเปียโน ซึ่งหนึ่งในท่อนเหล่านั้นก็คือ ท่อนที่ถูกเรียกว่า เพลงคาวบอย (The Cowboy Song) ที่เนื้อร้องจบลงด้วยการไปอยู่ในเพลงฉบับสมบูรณ์ โดยเฉพาะคำร้องที่ว่า “Mama … just killed a man.”
การบันทึกเสียงเริ่มต้นในวันที่ 24 สิงหาคม 1975 ที่ร็อคฟิลด์ สตูดิโอ หลังซ้อมกันยาวๆ 3 สัปดาห์ที่เพิร์นฮอส คอร์ท ระหว่างการทำอัลบัม A Night at the Opera ควีนใช้สตูดิโอต่างๆ อีก 4 แห่ง ทำให้งานชุดนี้เป็นอัลบัมที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ตอนนั้น ที่น่าสนใจก็คือ ควีนไม่ใช้ซินธิไซเซอร์ในการทำงานเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาภูมิใจมากๆ
“มันเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ แต่การสร้างสรรค์เพลงนี้ในตอนแรกเป็นความน่าตื่นเต้นสุดๆ สำหรับพวกเรา ผมจำได้ว่าเฟร็ดดีเข้ามาพร้อมกระดาษชิ้นเล็กๆ กองใหญ่จากงานที่พ่อเขาทำ เหมือนๆ พวกกระดาษแปะ (Post-It) จากนั้นก็กระหน่ำเปียโน (ซึ่งเป็นตัวเดียวกับที่พอล แม็คคาร์ทนีย์ใช้เล่นเพลง “Hey Jude”) เขาเล่นราวกับเล่นกลอง เพลงนี้มันเต็มไปด้วยช่องว่างซึ่งเขาจะอธิบายว่า จะมีท่อนโอเปราแทรกเข้ามาตรงนี้ แล้วก็ตรงนั้น เขาจัดการเรียบเรียงเสียงประสานมาแล้วในหัว” เมย์เล่า
เขา, เมอร์คิวรี และเทย์เลอร์ ต้องอัดเสียงร้องซ้ำไปซ้ำมาอย่างต่อเนื่องราว 10-12 ชั่วโมงต่อวัน โดยใช้เวลากับงานส่วนนี้ถึง 3 สัปดาห์ ส่วนท่อนโอเปราใช้เวลาทำงานกว่า 70 ชั่วโมง แล้วบางส่วนของเพลงก็ต้องทำโอเวอร์ดับถึง 180 ครั้ง เนื่องจากเทปบันทึกเสียงยุคนั้นเป็นแบบ 24 แทร็ค ทำให้พวกเขาต้องทำโอเวอร์ดับเสียงตัวเอง แล้วก็มิกซ์รวมกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเทปที่ใช้อัดเสียงถึงกับบางลงจากเดิม โธมัส เบเคอร์จำได้ถึงการเดินเข้ามาในห้องอัดเสียงของเมอร์คิวรี พร้อมกับโว “เฮ้… ฉันได้กาลิเลโอเพิ่มมาอีกแล้ว!” ขณะที่เทปสุมเป็นตั้งๆ
แต่ท่อนโซโลกีตาร์ของเมย์ กลับทำกันแค่แทร็คเดียว ไม่มีโอเวอร์ดับ โดยเจ้าตัวยืนยันว่าเขาอยากเล่น “ทำนองน้อยๆ ซึ่งจะเป็นการทำซ้ำตัวเมโลดีหลัก ผมไม่อยากเล่นตามเมโลดี” ท่อนโซโลท่อนนี้ ยังเป็นตัวอย่างการทำงานที่ยอดเยี่ยมของเมย์ ที่สร้างท่อนโซโลไว้ในใจไว้ก่อนจะเล่น ซึ่งเป็นวิธีที่เขาใช้เป็นประจำ “นิ้วจะคาดเดาได้ง่าย ถ้าไม่มีการนำด้วยสมอง” เมย์บอกเหตุผลในการทำแบบนี้
เมื่อค่ายเพลงต้องการให้วงตัดเพลง ส่วนนักดนตรีคนอื่นๆ ที่ได้ฟังก็บอกว่า ไม่มีทางดังถ้าวิทยุไม่เล่น ทำให้วงและโธมัส เบเคอร์ไม่สนค่ายเพลง และเอาไปเปิดให้เคนนี เอเวอเร็ทท์ ดีเจของแคพิตอล เรดิโอฟัง “เรามีเทปรีลก็อปปีเพลงจากเทปในห้องอัด แล้วก็บอกเขาว่า เขาจะได้มันถ้าสัญญาว่าจะไม่เปิด ‘ฉันจะไม่เล่น’ เขาตอบ” แผนที่วางไว้สำเร็จ เอเวอเร็ทท์ยั่วคนฟังต่อด้วยการเปิดบางท่อนของเพลง และพอเปิดเต็มๆ คนฟังก็เรียกร้องอย่างบ้าคลั่ง จนเขาต้องเล่น “Bohemian Rhapsody” ถึง 14 ครั้งใน 2 วัน พอถึงวันจันทร์แฟนเพลงที่ไปหาซื้อซิงเกิลนี้ตามร้านขายแผ่นเสียง ก็พบว่ามันยังไม่ออกวางขาย และในสัปดาห์เดียวกัน พอล ดรูว์จากสถานีอาร์เคโอในสหรัฐอเมริกา ได้ยินเพลงจากรายการของเอเวอเร็ทท์ เลยจัดการก็อปปีเทปและเปิดออกอากาศในอเมริกา
“มันเป็นสถานการณ์ที่แปลกมากๆ ที่สถานีวิทยุทั้งสองฝั่งแอตแลนติค พากันเล่นเพลงที่ค่ายเพลงบอกว่า ไม่มีทางถูกเปิดในรายการวิทยุ” โธมัส เบเคอร์ เล่า ท้ายที่สุด “Bohemian Rhapsody” ฉบับไม่ถูกตัดก็กลายเป็นซิงเกิล และในตอนที่เอเวอเร็ทท์เปิดเพลงนี้ เอริค ฮอลล์ ก็ก็อปปีเพลงเอาไว้แล้วส่งให้ เดวิด ‘ดิดดี’ แฮมิลตัน เพื่อเปิดในรายการ เรดิโอ วัน ซึ่งเขาถึงกับพูดออกอากาศว่า “ยิ่งใหญ่ อลังการ! นี่ต้องเป็นเพลงฮิตแน่ๆ”
และทุกอย่างก็เป็นเช่นที่เรารู้กัน
โดย นพปฎล พลศิลป์ เรื่อง กว่าจะเป็นเพลง Bohemian Rhapsody คอลัมน์ หรรษา วันจันทร์ – HAPPY MONDAY หนังสือพิมพ์ไทยโพสท์ วันที่ 5 พฤศจิกายน 2561
ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านวิจารณ์หนังและเพลง ได้ด้วยการกดไลค์เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่