เคยเห็นอยู่เหมือนกันกับภาพของการแสดงคอนเสิร์ตภายในโบสถ์ ทั้งที่เป็นภาพนิ่ง หรือบันทึกการแสดงสด แต่ในชั่วชีวิตการทำงานที่ผ่านมา ก็ไม่เคยเลยที่จะได้สัมผัสแบบตัวเป็นๆ เห็นจริงๆ กับตา จนได้รับโอกาสจากวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิด ให้ได้ไปชมคอนเสิร์ตดนตรีคลาสสิคัลที่ เซนต์ มาร์ติน อิน เดอะ ฟิลด์ส นี่ละ ถึงได้มีโอกาสสัมผัสกับของจริงเป็นครั้งแรก
โดยเป็นการแสดงของวงแชมเบอร์ที่ชื่อ ลอนดอน ออคเตฟ ที่มีลอร์เรน แม็คอัสลาน เป็นผู้อำนวยวง และเป็นมือไวโอลินหนึ่งของวง ร่วมกับเพื่อนๆ อีก 6 คน ที่เล่นไวโอลินอีกสองคน แล้วก็เป็น วิโอลา, ดับเบิลเบส, เชลโล และฮาร์พซิคอร์ด สำหรับแม็คอัสลาน เธอยังเป็นมือไวโอลินหญิงชาวอังกฤษที่มีผลงานการบันทึกเสียงมากที่สุดอีกด้วย โดยมีผลงานออกมาถึง 30 อัลบั้มด้วยกัน
โดยเพลงที่ทางวงนำมาเล่นนั้นจะแบ่งเป็น 2 ช่วง ช่วงแรกจะเล่นเพลงของ แฮนเดล – The Arrival of the Queen of Sheba ที่เป็นส่วนหนึ่งในเพลงยาว Solomon ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับราชาโซโลมอน โดยแฮมเดลประพันธ์เพลงตั้งแต่ปี 1748, งานของโมสาร์ท Divertimento for Strings in F K138 ‘Salzburg Symphony No.3’ และ Serenade for Strings in G k.525 ‘Eine kleine Nachtmusik’, Canon in D for Strings งานจากศตวรรษที่ 17 ของพาชาเบล ที่คอซีรี่ส์เกาหลีน่าจะคุ้นหู เพราะมักจะหยิบเพลงนี้ไปใช้อยู่บ่อยๆ, Allegro from Sinfonia in D for Strings จากทาร์ตินี, Agnus Dei ที่เป็นท่อนหนึ่งจากเพลง Mass in B minor งานชิ้นสุดท้ายที่บาคประพันธ์ มาเล่น
ส่วนครึ่งหลังจะยกเอา The Four Seasons งานไวโอลิน คอนแซร์โตของวิวัลดีมาเล่นรวดเดียวจบ โดยเพลงนี้แอนโตนิโอ วิวัลดี แต่งเอาไว้ราวๆ ปี 1720 และเป็นงานของเขาที่รู้จักกันดีที่สุด รวมทั้งเป็นเพลงจากยุคบาโรคที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ตัวเพลงจะแบ่งออกเป็นสี่ชุดตามฤดูต่างๆ ฤดูใบไม้ผลิ (Spring), ฤดูร้อน (Summer), ฤดูใบไม้ร่วง (Autumn) และ ฤดูหนาว (Winter) แล้วแต่ละฤดูก็จะมีท่อนดนตรีข้างในอีก 3 ท่อน สรุปรวมแล้วโดยโครงสร้างของเพลงนี้จะมีท่อนต่างๆ มากถึง 12 ท่อนเลยทีเดียว
ที่พอได้สัมผัสกับคอนเสิร์ตคลาสสิคัลในโบสถ์จริงๆ ก็พบว่า การบรรเลงดนตรีในโบสถ์ จะให้มิติ ให้อารมณ์ ของเสียง และบรรยากาศในการรับชมที่แตกต่างไปจากการชมคอนเสิร์ตคลาสสิคัลในคอนเสิร์ตฮอลล์ หรือหอประชุมต่างๆ อย่างเห็นได้ชัด
โดยเฉพาะความรู้สึกแบบสว่างๆ ตัวเพลงมีอารมณ์ในแบบงานทางจิตวิญญาณให้รู้สึก
แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ เสียงที่ออกมานั้นอุ่น นุ่มนวล มีความเป็นอะคูสติคมากกว่าที่เคยได้สัมผัสในฮอลล์อย่างเห็นได้ชัด
การแสดงของวงลอนดอน ออคเตฟ ที่มีการเรียบเรียงดนตรีใหม่ ก็ทำให้เพลงที่ได้ยินมานานเหล่านี้ มีความสดในตัว การเล่นก็เต็มไปด้วยความกระฉับกระเฉง มีชีวิตชีวา อย่าง Canon in D Minor ก็ฟังอุ่นกว่าที่เคยได้ยิน ส่วน The Four Season ที่แม็คอัสลานเป็นคนเล่นเดี่ยวไวโอลิน ก็เล่นรับ-ส่ง โต้ตอบกับวงได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะในช่วงที่แสดงให้เห็นถึงความกราดเกรี้ยวของสภาพอากาศในแต่ละฤดูนั้น อาจจะฟังขึงขังอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้กระแทกกระทั้นหนักหนา สักเท่าไหร่ เพราะยังมีความนวลของเสียง และบรรยากาศสว่างๆ อย่างที่บอกมา ทำให้ตัวงานฟังดูรื่นรมย์ ความดุดันกราดเกรี้ยวที่มี ก็ไม่ได้คงอยู่นาน เช่นเดียวกับที่ชีวิตก็ต้องมีฟ้าหลังฝนยังไงยังงั้น
ถือว่าเป็นอีกหนึ่งของความประทับใจ ที่หากมีโอกาสก็อยากให้ลองไปสัมผัสกันบ้าง
สำหรับสถานที่แสดง โบสถ์เซนต์ มาร์ติน อิน เดอะ ฟิลด์ เป็นโบสถ์แบบอังกฤษที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจตุรัสทราฟัลการ์ สร้างขึ้นมาตั้งแต่ยุคกลาง ที่น่าทึ่งก็คือ สถาปัตยกรรมโบราณนี้ สามารถตั้งอยู่ท่ามกลางบรรดาตึกรามก่อสร้างของโลกในยุคใหม่ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
และการได้ชมคอนเสิร์ตในสถานที่แบบนี้ ก็ไม่ต่างไปจากการเดินทางเข้าไปในโลกอีกโลกหนึ่งที่มีแต่ความรื่นรมย์ และเยือกเย็น
จากเรื่อง ครั้งแรกกับคอนเสิร์ตในโบสถ์เซนต์ มาร์ติน อิน เดอะ ฟิลด์ส ที่ลอนดอน โดย นพปฎล พลศิลป์ คอลัมน์ ดนตรีมีเหตุ หนังสือพิมพ์ไทยโพสท์ วันที่ 7 พฤษภาคม 2558
สามารถกดไลค์ Like เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่