
THE RESISTANCE / Muse [Warner Music]
ภาพหน้าปกอัลบั้มอบอวลไปด้วยสีสันของไซคีเดอลิคอาร์ตแบบฉุนเฉียว และซิงเกิลแรก Uprising ซึ่งเปิดม่านอินโทรด้วยตัวโน้ตอันก้องกังวานหวานซึ้งพริ้วๆ จากเสียงของแกรนด์เปียโน สอดรับกับความหนักแน่นของรึธึมกีตาร์ จังหวะอันหนักหน่วงของกลอง และนำเสียงเอฟเฟคท์สไตล์อิเลคทรอนิกามาประดับประดาให้มีความสมบูรณ์แบบ เพียงเท่านี้ก็ทำให้เพลงนี้ของ Muse กระโดดขึ้นอันดับหนึ่งของทุกชาร์ททั่วโลก พร้อมทั้งเป็นเพลงอิเลคทรอนิกส์ ร็อคอันดับหนึ่งในใจของคุณประจำปีนี้ได้ทันที กล้าท้าทายคอร็อคและคอป็อปทุกคน ถ้าคุณไม่หลงรักเพลงนี้ทันทีที่ฟังจบและละก็ แสดงว่าคุณคือสาวก K-Pop พันธุ์แท้แน่นอน สูตรสำเร็จของเพลงนี้คือการนำความดีงามและความยอดเยี่ยมของซิงเกิล Starlight จากอัลบั้มที่แล้วมากวนให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกับซิงเกิล Time Is Running Out จากอัลบั้ม Absolution ผลลัพท์ที่ได้คือ เพลงฮิตที่จะกลายเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ผลักดันให้วง Muse เพิ่มความเปล่งประกายเจิดจ้ากับตำแหน่งร็อคสตาร์ตลอดกาล ได้ไม่แพ้วงที่เป็นแรงบันดาลใจอย่าง Radiohead เลยทีเดียว
ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดจากอัลบั้ม Black Holes and Revelations และกวาดความประทับใจของคอร็อคจากการแสดงสดที่ New Wembley ในปี 2007 แถมขายดีวีดีและอัลบั้มบันทึกการแสดงสด H.A.R.P.P Live From Wembley ได้อย่างถล่มทลายไปทั่วโลกอีกทีในปีต่อมา ส่งผลให้วง Muse กระโดดขึ้นสู่ทำเนียบของวงร็อคที่คอร็อคทั่วโลกใฝ่ฝันและเรียกร้อง เพื่อต้องสัมผัสความเมามันกับการแสดงสดของพวกเขาสักคราในชีวิตทันที
[one_half][/one_half]
อัลบั้ม The Resistance ไม่มีคำว่า “ผิดหวัง” ให้เราได้ยินแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียวกับ 11 แทร็คที่พวกเขาให้มา 3 แทร็คแรกคือ Uprising, Resistance เสมือนเป็นเพลง Knights Of Cydonia ใน Part. 2 ที่เพิ่มเติมความอลังการเข้าไปอีก 2 เท่าตัว และ Undisclosed Desires นั้น คือ อัตลักษณ์และสัญญลักษณ์ของดนตรีร็อคสไตล์ Muse ที่ทั่วโลกตรึงตราตรึงใจมาแล้วกับ 2 อัลบั้มก่อนหน้า ส่วนแทร็คที่ 4 United States Of Eurasia (+Collateral Damage) นั้น คือการกลับไปนำเอามหากาพย์แห่งดนตรีโอเปรา ร็อค Bohemien Rhapsody ของวง Queen มากราบคารวะสดุดีในแบบฉบับของ Muse ที่ไม่มีเงาดำของวง Radiohead ทาบทาอีกต่อไป…สุดยอดและสุดยอดคือคำอธิบายต่อแทร็คนี้
ไล่เรียงไปสู่แทร็ค Guiding Light, Unnatural Selaection, My Ultar และ I Belong To You (+MON C EUR S’OUVRE A TA VOIX) คือพาร์ทของ Muse ที่ปลดปล่อยให้วิญญานของดนตรีเฮฟวี เมทัลที่ฝังลึกอยู่ในแต่ละคน หลุดออกมาอาละวาดผ่านบทเพลงทั้ง 4 ซึ่งถูกควบคุมให้อยู่ในความพอดีโดยรังสีของดนตรีอิเล็กทรอนิกา ส่วนพาร์ทสุดท้ายคือแทร็ค Exogenesis: Symphony Part 1 (Overture), Exogenesis: Symphony Part 2 (Cross-Pollination) และ Exogenesis: Symphony Part 3 ( Redemtion ) คือการนำเอาวิญญานของดนตรีโพรเกรสซีฟ ร็อคของวงระดับตำนานพิงค์ฟลอยด์ ที่สิงสู่อยู่ในตัวของพวกเขาทั้ง 3 คนตั้งแต่เล็กๆ มาบวงสรวงเซ่นไหว้กับบริบทของดนตรีซิมโฟนีออร์เคสตรา+ร็อค ได้ยิ่งใหญ่อลังการและงดงามเกินกว่าคำบรรยายใดๆ
ผมรีบเขียนอธิบายสรุปอย่างสั้นๆกับ 11 แทร็คในอัลบั้มชุดนี้ ด้วยเหตุผลคือการหยุดความคิดในหัวที่มันกำลังทะลักทะล้นออกมาอย่างไร้จุดจบกับแต่ละเพลง กลัวจะทำตามใจตัวเองโดยเขียนตามความคิดและความรู้สึกแล้วไม่สามารถหาบทสรุปให้จบได้ มั่นใจว่านิตยสารสีสันทั้งฉบับนี้ก็ไม่สามารถรองรับตัวอักษรที่หลุดออกมาจากสมองผมได้แน่นอน ถ้าผมยอมทำตามใจตัวเอง ดังนั้นจึงขอหยุดการบรรยายความยอดเยี่ยมของอัลบั้มล่าสุด The Resistance ของวง Muse ไว้เพียงเท่านี้ แต่ขอแนะนำชื่อของพวกเขาทั้ง 3 ให้คุณจดจำไว้อีกที Matthew Bellay – ร้องนำ,กีตาร์ และ ซินธิไซเซอร์, Chris Wolstenholme – เบส และ Dominic Howard – กลอง
เห็นทีวง Radiohead ต้องปวดหัวกับวงรุ่นน้องวงนี้แน่นอน เพราะพวกเขากำลังหายใจรดต้นคอเข้ามาทุกที
โดย นรเศรษฐ หมัดคง นิตยสาร สีสัน ตุลาคม 2552
ที่มา https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1449972071904397&set=pb.1439414162960188.-2207520000.1397502023.&type=3&theater
<iframe width=”670″ height=”377″ src=”//www.youtube.com/embed/d0KWiDGi_ek?list=PLBFDFE3F8AB31A51C” frameborder=”0″ allowfullscreen></iframe>