
ATTACK ON TITAN: END OF THE WORLD: จากภาคแรก ที่ตัวหนังดูสะเปะสะปะ ไม่รู้ว่าจะวางน้ำหนักไปที่ส่วนไหนของหนัง ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร ความแค้นส่วนบุคคล ความฝันส่วนตัว หรือปฏิบัติการเพื่อส่วนรวม ไล่ไปถึงที่มาที่ไปของตัวละคร การกระทำของพวกเขา และความเป็นมาเป็นไปของสถานการณ์ต่างๆ ก็ขาดกระพร่องกระแพร่ง ลอยไปลอยมา เมื่อลีลาการเคลื่อนไหว ด้วยอะไรสักอย่าง 3 มิติ ที่ตัวละครใช้สู้กัยพวกไททัน
มาถึงภาคนี้ ที่ประกาศตัวว่าเป็นบทสรุป หนังจากที่เข้ารกเข้าพง หรือออกทะเล ไปมหาสมุทร ยิ่งเจอกับสถานการณ์หนักข้อมากขึ้น เพราะไม่ใช่แค่พง แต่คงต้องบอกว่าเป็นป่าดงดิบ และไม่ใช่แค่มหาสมุทรธรรมดา แต่เป็นถึงจุดตัดของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้ากันเลยทีเดียว
หนังสานต่อจากภาคแรกแบบมาติดๆ พร้อมกับโยนประเด็นมากมายใส่เข้ามาอีก ไม่ว่าจะเป็นความเป็นไปของไททัน การเปลี่ยนร่างของตัวละครบางคน โดยที่ไม่ได้คลี่คลายอะไรต่างๆ ก่อนหน้าด้วยซ้ำ ทำสำคัญยังหาญกล้าจับเรื่องสำคัญอย่าง การพยายามปฏิวัติการปกครองของพื้นที่ในกำแพง ด้วยวิธีการอย่าง ปล่อยให้ไททันบุกเข้ามา ซึ่งดูแล้วก็ไม่เห็นว่าจะปฏิวัติ ยึดอำนาจกันได้ยังไง เพราะดูแล้วก็ต้องหาทางไล่ไททันเหมือนกันอยู่ดี
แล้วความคิด การตัดสินใจของตัวละครก็พิลึก บางคนก็นึกเปลี่ยนใจกลับใจมาได้ซะเฉยๆ ส่วนบางคนที่มีอำนาจเต็มมืออยู่แล้ว ก็ไม่มีเหตุผล ที่จะต้องทุบหม้อข้าวตัวเองให้พังเล่น
ดูไปก็เกิดคำถามว่า ทำไม… ทำไม… และทำไม… ตลอดเวลา แถมหนังยังใช้เวลาไปกับการเจรจา สนทนาที่แสนยาวนานโดยไม่ได้มรรคผลอะไร มาใช้อธิบายกับเรื่องราวในตอนท้าย
ขณะที่ฉากแอ็คชันต่างๆ ก็ไม่ได้มีอะไรใหม่ กระทั่งบทสรุปสุดท้ายก่อน End Credit ก็ยังเต็มไปด้วยคำถาม แถมยังกล้าๆ ใส่ฉากหลัง End Credit ที่ไม่ได้ช่วยอะไรสักอย่างมาอีกซ้ำ หรือจริงๆ แล้วเป็นแค่โฆษณา แอปเปิล ทีวี
หนังเหมือนไม่มีอะไรดี แต่จริงๆ แล้วมี อย่างน้อยๆ ก็ถึงเวลาที่จบซะที และทำให้รู้สึกว่า กับเวลา 87 นาที บางทีมันก็นานแสนนานชั่วกัปชั่วกัลป์ได้เหมือนกัน
โดย นพปฎล พลศิลป์
ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านงานวิจารณ์หนัง และเพลง แบบนี้ ได้ด้วยการกดไลค์ Like เพจสะเด่าส์กันไว้ก่อน ได้ที่นี่