
CRAWL: มีทุกอย่างที่หนังแนวนี้ต้องมี ตัวละครติดอยู่ในพื้นที่จำกัด ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่เต็มร้อย และต้องเจอกับคู่ปรับมีทั้งความแข็งแรง และน่าจะเชี่ยวชาญการใช้พื้นที่มากกว่า แถมยังมีเรื่องของเงื่อนเวลามาบีบ เพื่อให้ตัวละครในเรื่อง ที่มีสองคนพ่อ-ลูก ต้องดิ้นรนหาทางออกจากพื้นที่ตรงนี้ให้ได้ ไม่งั้นก็ต้องจมน้ำตาย ซึ่งก็ต้องเสี่ยงกับการเผชิญหน้ากับจระเข้ ที่ไม่ได้มีแค่ตัวเดียว แต่จากที่หนังว่าเอาไว้ น่าจะมากันทั้งฟาร์ม
แล้วก็ตามด้วยการทำอะไรโง่ๆ ของตัวละครทั้งที่เป็นคนและสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นการโทรศัพท์ในที่เปิดโล่ง หรือว่ายน้ำแข่งกับจระเข้ ที่ถ้าไม่ติดใจสงสัยปล่อยใจไปกับสายน้ำที่มากับพายุเฮอริเคนในเรื่อง ก็พอจะตื่นเต้นอะไรได้อยู่ เมื่อมีสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานให้ได้ลุ้นอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงโยนความหวังให้ตัวละคร แล้วก็ถอดปลักออกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งหลายๆ สถานการณ์ก็ดูไม่ค่อยเป็นเหตุเป็นผลนัก โดยที่อย่าถามถึงความสมจริงสมจัง เพราะใครเขานึกถึง
หากก็อย่างที่บอกปล่อยใจไปกับสายน้ำซะ จะได้สบายใจ แล้วในบางสถานการณ์คนทำหนังก็ดูจะรู้ใจผู้ชมช่างสงสัย ถึงมีบทสนทนาอย่าง “พ่อบ้านเราโครงสร้างดีแข็งแรงนะ” เมื่อบ้านของพวกเขาดูจะเป็นหลังเดียวในละแวก ที่ไม่โดนน้ำซัดหาย
แต่ถึงจะเน้นความบันเทิงเป็นหลัก Crawl ก็ไม่ได้ว่างเปล่าจนเกินไปนัก อย่างน้อยๆ ก็มีเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ-ลูกผู้ไม่เข้าใจกันเป็นประเด็นดรามา ที่ทำให้หนังมีน้ำหนักมากกว่าขนาดตัวของจระเข้ ซึ่งทั้งคู่ต้องมาเผชิญชะตากรรมร่วมกัน และเรียนรู้กันและกันอีกครั้ง ใน ‘บ้าน’ ที่ตัวลูกสาวพยายามจะหนีไป เพราะไม่มีความสมบูรณ์อย่างที่เคยเป็น จนท้ายที่สุดพวกเขาก็พบว่า แท้จริงแล้วทั้งคู่ต่างก็เป็นบ้านของกันและกัน (ว้าว!!!)
และหนังก็ฉลาดพอที่จะไม่เสียเวลาวุ่นวายกับเรื่องบ้านในใจของตัวละคร มากกว่าเรื่องการเอาตัวรอดจากไอ้เข้สารพัดไซส์ สายน้ำ และพายุเฮอริเคน เพราะไม่อย่างนั้น สารพัดสถานการณ์เฉียดตายที่หนังโยนใส่คนดู คงไม่ทำให้รู้สึกเพลินไปกับเรื่องได้อย่างที่เห็น หรือไม่ก็ทำให้หนังแกว่ง เพราะมันเป็นอะไรที่เกินตัว เหมือนพยายามสอนจระเข้ให้กระโดดข้ามรั้วยังไงยั้งงั้น
โดย นพปฎล พลศิลป์