Movie ReviewREVIEW

ดูมาแล้ว – EXTRACTION และ TIME TO HUNT “ปฏิบัติการขายเหล้าเก่า ด้วยรูปลักษณ์ใหม่”

งานจากเน็ทฟลิกซ์ที่เปิดตัวในเวลาติดๆ กัน Extraction หนังแอ็คชันที่มีคริส เฮมสเวิร์ธมาทีหลัง โดย Time to Hunt หนังแอ็คชันเกาหลีออกฉายก่อนเพียงหนึ่งวัน โดยที่หนังมีปัญหาเรื่องการจัดจำหน่าย การขายสิทธิที่ว่ากันว่าจะมีการฟ้องร้องตามมาอีกยกใหญ่ ซึ่งคงต้องให้เกาะตามข่าวกันต่อไป ว่าที่สุดแล้วเรื่องเงินๆ ทองๆ ของ Time to Hunt จะไปจบลงตรงไหน

แล้วไม่ใช่แค่เปิดตัวฉายในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน หนังทั้งสองเรื่องยังมีอะไรที่คล้ายๆ กันอีกหนึ่งอย่าง นั่นก็คือการเป็นงานที่พยายามสร้างความน่าสนใจให้กับตัวเอง ในยุคที่เรื่องราวดูจะไม่มีอะไรสดใหม่ให้ผู้ชมได้ว้าว ในสมัยที่งานโปรดัคชันแทบจะทันกันไปหมดทั่วโลก (หากเงินถึง)

เพราะโดยพล็อตไม่ว่าจะเป็น Extraction หรือว่า Time to Hunt มันก็คือเรื่องราวที่ถูกเล่ามาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรื่องหนึ่งคือ ปฏิบัติการช่วยเหลือตัวประกันจากมือแก๊งมาเฟียใหญ่ ของอดีตทหารหน่วยพิเศษผู้มีแผลในใจ ที่ผันตัวมาเป็นทหารรับจ้าง แล้วตัวเองก็รู้สึกผูกพันกับเป้าหมายทีละน้อยๆ อีกเรื่องคือกลุ่มนักปล้นที่ชั่วโมงบินไม่มากนัก แต่อาจหาญหักเหลี่ยมผู้มีอิทธิพลด้วยการปล้นคาสิโน ที่พวกเขาไม่ได้ฉกมาแค่เงิน แต่เผลอหยิบสิ่งที่เป็นความลับขององค์กรที่พัวพันไปถึงอะไรอีกมากมาย จนกลายเป็นเป้าในการตามล่าเพื่อทวงของคืน

กับ Extraction แว่บแรกแค่จากเรื่อง หลายๆ คนอาจจะนึกถึง Man on Fire ของผู้กำกับโทนี สก็อทท์ ซึ่งเดนเซล วอชิงตัวรับบทเป็นเจ้าหน้าที่คนนั้น และดาโกตา แฟนนิงคือเป้าหมาย ขณะที่ Time to Hunt ก็มีหนังที่ว่าด้วยมือใหม่หัดปล้น ที่กลายเป็นลูบคมเจ้าพ่อ หรือองค์กรอาชญากรรมขนาดใหญ่ให้นึกถึงอีกไม่น้อย

แต่ในความจำเจที่อาจเรียกได้ว่าซ้ำซาก ทั้ง Extraction กับ Time to Hunt ต่างก็สร้างความน่าสนใจหรือเสน่ห์ให้กับตัวเองสำเร็จ

หนังของแซม ฮาร์เกรฟ ผู้กำกับเรื่องแรกที่เคยเป็นอดีตสตันท์แมนมาก่อน เลือกใช้สิ่งที่ตัวเองทำได้ดีที่สุดนั่นก็คือคิวบู๊, ฉากแอ็คชันเป็นจุดขาย ที่แข็งแรงพอจะทำให้หนังซึ่งเรื่องราวไม่มีจุดพลิกผันใดๆ กลายเป็นงานดูสนุกในแบบหนังแอ็คชันเอามันส์ ว่ากันเพลินๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ โดยมีข้อแม้เพียงอย่างเดียว ไม่ต้องไปคิดถึงความเป็นเหตุเป็นผล ไม่ต้องไปสนใจความสมจริงสมจังของเหตุการณ์

เพราะถ้าถึงขั้นตัวละครถูกชกจนจมูกเบี้ยว แล้วยังจัดจมูกเข้าที่ด้วยตัวเองได้ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง

แล้วก็มีไฮไลท์เป็นฉากแอ็คชันที่นำเสนอกันแบบลองเทคความยาวกว่าสิบนาที ซึ่งย้ำความเป็นหนังแอ็คชัน ขายความมันส์ของตัวเองให้โดดเด่นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนกับวิ่งตามไปกับตัวละคร ที่สามารถกระตุ้นอารมณ์ความระทึกในการชมอย่างได้ผล แม้ฉากแอ็คชันเหล่านี้จะคลับคลากับที่เคยเห็นจากหนังแอ็คชันหลายๆ เรื่องก่อนหน้าก็ตามที ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ระยะประชิดหยิบอะไรใกล้มือได้ก็กลายเป็นอาวุธได้หมด เช่นที่เคยเห็นในหนังชุด Jason Bourne หรือ John Wick, ฉากไล่ล่าไปตามชั้นต่างๆ ของตึกก็ประมาณสิ่งที่เคยเห็นใน The Raid หนังแอ็คชันอินโดนีเซีย, ส่วนฉากในตลาด ก็คือการอัพเกรดความเข้มข้น ความดิบจากที่ องค์บากเคยทำไว้ (ซึ่งฉากนี้ก็ถ่ายทำกันในบ้านเรา แถวเวิ้งนครเกษม ที่เนรมิตให้เป็นย่านหนึ่งในกรุงธากาของบังคลาเทศ)

แต่ก็ต้องให้เครดิทการคลุกเคล้าที่ลงตัว การผสมผสานสิ่งต่างๆ อย่างได้ที่ ซึ่งทำให้สิ่งละอันพันละน้อยที่รู้สึกถึงผู้ที่มาก่อนเรื่องโน้น-นี้-นั้น กลายเป็นความบันเทิงที่กลมกลืนใน Extraction จนได้ในที่สุด จนพอจะพูดได้ว่าหนังขายในสิ่งที่ดีที่สุดที่ตัวเองมีสำเร็จ

ขณะที่เรื่องราวความสัมพันธ์ของตัวละคร หรือว่าเรื่องบาดแผลในใจของตัวเอก ก็ใส่มาแบบเป็นของประกอบที่พอเหมาะ ไม่ลึกซึ้งแต่ก็พอจะทำให้หนังไม่เป็นงานพอร์ทฟอลิโอการทำฉากแอ็คชันไปเลย แล้วก็ยังแทรกเรื่องการใช้เด็กจรจัดเป็นมือไม้ขององค์กรอาชญากรรมเข้ามาด้วย

ซึ่งก็ช่วยให้หนังไม่ถึงกับว่างเปล่าไปซะทีเดียว

ที่น่าสนใจก็คือศักยภาพของคริส เฮมสเวิร์ธ นักแสดงนำ Extraction แสดงให้เห็นว่า เขามีความสามารถรอบด้าน ไม่ใช่ติดอยู่กับการเป็นธอร์ เมื่อดูจากเรื่องนี้ ที่คริสเป็นเป็นพระเอกหนังแอ็คชันเต็มตัว และจากเรื่องก่อนๆ ที่เขาเอาอยู่หมด ไม่ว่าจะเป็นงานดรามาใน In the Heart of the Sea, งานเบาสมองจาก Ghostbusters ฉบับหญิงล้วน ที่ยังต้องรอการ ซ.ต.พ. ก็คงไม่พ้นงานโรแมนติค

ส่วนบรรดานักแสดงรายรอบ ก็คัดมาดีและเล่นได้ดี ทั้งตัวร้ายปริญาณชุ เพนยูลิ ที่เล่นเป็นเจ้าพ่อค้ายาชาวบังคลาเทศ ที่เหี้ยมตั้งแต่หน้าตาและท่วงท่าการแสดงออกต่างๆ, รูดรักช์ ไจสวัล เป้าหมายในการช่วยชีวิตและไล่ล่า ก็เล่นเข้าคู่-เข้าขากับเฮมสเวิร์ธได้ลงตัว แต่ที่เด่นกว่าคนอื่นๆ ก็คือ แรนดีพ ฮูดา ที่รับบทลูกน้องคนสำคัญของพ่อตัวละครของไจสวัล ที่นอกจากจะมีฉากแอ็คชันเดี่ยวๆ กับเฮมสเวิร์ธ ที่ซัดกันได้สมน้ำสมเนื้อแล้ว ยังเป็นตัวละครที่ดูจะมีปูมหลังให้รับรู้มากที่สุด จนบางทีซาจูตัวละครที่เขาเล่น อาจเป็นตัวละครที่ผู้ชมเข้าใจการกระทำมากที่สุดด้วยซ้ำไป

เมื่อพล็อตและเรื่องราวไม่ ‘ว้าว!’ แซม ฮาร์เกรฟ ก็ต้องหาทางสร้างความชัดเจนบางอย่างให้กับหนัง เพื่อนำมาเป็นจุดขาย ซึ่งจากที่เห็น เขาทำได้สำเร็จ

ยูน ซัง-ฮยุน ผู้กำกับของ Time to Hunt ก็น่าจะคิดไม่ต่างกัน เมื่อเขาทำให้หนังพล็อตช้ำเรื่องนี้ ขึ้นจอโดยเน้นที่บรรยากาศ และสร้างโทนที่ต่างไปจากหนังเรื่องอื่นๆ ซึ่งมีเนื้อหาที่ใกล้เคียงกันเป็น

ตั้งแต่การให้เหตุการณ์เกิดขึ้นในเกาหลี ที่ช่วงเวลาหนึ่งซึ่งผิดแผกไปจากปัจจุบัน เมื่อประเทศตกเป็นหนี้ไอเอ็มเอฟมหาศาล จนการบริหารงานของรัฐบาลอยู่ในการควบคุมแบบเบ็ดเสร็จขององค์กรการเงินระหว่างระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟ เงินวอนเป็นสิ่งที่ไร้ค่า ผู้คนใช้จ่ายกันด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐฯ

หนังเปิดด้วยภาพของกรุงโซลที่เหมือนอยู่ในโลกหลังหายนะ ดูหม่นมัว ทึบทึม สิ้นหวัง ผู้คนจรจัดไร้ที่อยู่มีให้เห็น เมืองดูรกร้าง เต็มไปด้วยการประท้วง และนั่นก็ทำให้ภาพของไต้หวันที่จากคำบอกเล่าของบางคนว่า มีท้องฟ้าที่สดใส ปลอดโปร่ง ทะเลสีเขียวมรกต ไม่ใช่แค่เป็นภาพในจินตนาการที่ดูสวยงามเท่านั้น แต่ยังแฝงไปด้วยความหวัง และชีวิตชีวา ที่มีน้ำหนักมากพอจะทำให้เด็กหนุ่มสี่คนกล้าแลกด้วยการบุกปล้นคาสิโน แล้วก็ถูกตามล่าแบบกัดไม่ปล่อยจากมือสังหารที่ทั้งโหดเหี้ยม ทั้งมีประสบการณ์เหนือกว่า

นอกจากภาพกรุงโซลที่แตกต่าง บรรยากาศของหนังยังปรุงให้มีความเฉพาะตัว จากมุมกล้อง จากโทนสี จนกลายเป็นแปลกตา สวยแต่ลึกลับ งามแต่ไม่น่าไว้ใจ โดยเฉพาะให้แสงสีแดงเป็นหลัก ในหลายๆ สถานการณ์

ยิ่งไปกว่านั้น ซัง-ฮยุน ยังเลือกเล่าเรื่องในทิศทางที่แตกต่าง เมื่อ Time to Hunt ไม่ได้ขึ้นจอเป็นงานแอ็คชัน ลุ้นระทึก หรือเป็นงานไล่ล่า อย่างที่เคยชมกัน หากนำเสนอในแบบงานแอ็คชัน เขย่าขวัญ ชวนชนลุก ด้วยการให้การไล่ล่าของมือสังหารกับเด็กหนุ่มสี่คน ไม่ผิดไปจากการล่าเหยื่อของบรรดานักเชือดโรคจิตในหนังอย่าง Friday the 13th หรือ Halloween หรือ สัตว์ประหลาดต่างดาวใน Alien ที่ไม่ใช่แค่ฆ่าเพราะทำตามคำสั่ง ไม่ใช่เป็นเพียงเครื่องจักรสังหาร แต่ยังเป็นนักฆ่าที่สนุกกับการเล่นเกมแมวไล่จับหนูกับเหยื่ออีกต่างหาก

ถือว่าเป็นการสร้างตัวละครที่ประสบความสำเร็จ ทั้งสร้างลักษณะเฉพาะให้กับตัวเองและการใช้งาน

ซึ่งเป็นเสน่ห์ที่มากพอจะกลบหรือมองข้ามความไม่เซอร์ไพรส์ใดๆ ของพล็อต ที่น่าจะมองกันออกด้วยซ้ำว่า ชะตากรรมของตัวละครแต่ละราย หรือบทสรุปสุดท้ายของเหตุการณ์จะไปอยู่ตรงไหน ตลอดจนช่องโหว่ต่างๆ ของหนัง เพราะเพลิดไปกับสถานการณ์แบบหนูจนตรอก ที่หนังโยนใส่ตัวละครครั้งแล้วครั้งเล่า โดยมีความสัมพันธ์ของเด็กหนุ่มกับความฝันที่อยากมีชีวิตดีๆ ของพวกเขา เป็นตัวยึดเหนี่ยวผู้ชมให้คอยเอาใจช่วย

จังหวะของหนังอาจจะเนิบช้าอยู่บ้างในบางช่วง รวมไปถึงการพาตัวละครออกจากมุมอับแบบง่ายๆ อยู่หลายหน แต่เทียบกันแล้วความรู้สึกตื่นเต้น หรือว่าลุ้นก็ยังทำงานได้ดี ที่บังเอิญอย่างไม่น่าเชื่อก็คือ หนังเกือบปิดจบในแบบเดียวกับ Extraction หากก็แค่เกือบ เพราะท้ายที่สุดแล้วเรื่องราวมีคลี่คลาย มีความชัดเจนมากกว่า แล้วก็รับกับการกระทำของตัวละครที่เลือกทาง ‘หนี’ มาตั้งแต่ต้น หากท้ายที่สุดก็ไม่ได้ทำให้ทุกอย่างจบ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของตัวละครเป็นการส่งท้าย

ในแง่ของความประทับใจหรือเป็นที่จดจำ ทั้ง Extraction และ Time to Hunt คงไม่ใช่งานที่ไปได้ไกลขนาดนั้น แต่ในช่วงเวลาหนึ่งที่ต้องการความบันเทิงที่พอจะมีความแตกต่างให้รู้สึก และมอบความสนุกสนานให้ได้คุ้มค่ากับเวลาที่ผ่านไป

หนังทั้งสองเรื่องนี้ ก็ถือเป็นการขายเหล้าเก่า ด้วยรูปลักษณ์ และวิธีการขายใหม่ๆ ที่ได้ผล อย่างน้อยก็เฉพาะในตอนที่ได้ชม

และแน่นอน รสชาติไม่ได้แย่นัก…

 

 

EXTRACTION
ผู้กำกับ: แซม ฮาร์เกรฟ นักแสดง: คริส เฮมสเวิร์ธ, รูดรักช์ ไจสวอล, แรนดีพ ฮูดา, กอลชิฟเทห์ ฟาราฮานี, ปันกาจ ไตรพาธี, เดวิด ฮาร์เบอร์
TIME TO HUNT
ผู้กำกับ: ยูน ซัง-ฮยุน นักแสดง: ลี เจ-ฮูน, อาห์น แจ-ฮอง, ชอย วู-ชิค, พาร์ จัง-มิน

โดย นพปฎล พลศิลป์ คอลัมน์ วิจารณ์-แนะนำ นิตยสารสีสัน พฤษภาคม 2563

 

What is your reaction?

Excited
0
Happy
0
In Love
0
Not Sure
0
Silly
0
Sadaos
พบข่าวสารจากวงการหนัง-เพลง ภาพสวยของดาราสาว, วิจารณ์-แนะนำ งานเพลง, ภาพยนตร์ และรับสั่งซื้อ CD/ DVD ทั้งในและต่างประเทศ. Sadaos Is entertainment news page and online shop for people who love movie and music. We sell many entertainment items like used and new DVD, CD, postcards, accessory, souvenirs.

You may also like

More in:Movie Review

Comments are closed.