
เพราะถูกใจกับ ‘Uncut Gems’ หนังที่ว่ากันว่าน่าจะทำให้อดัม แซนด์เลอร์ได้ชิงออสการ์ แต่ปรากฏว่าเหลว ก็เลยหางานของจอชและเบนนี แซฟดี สองผู้กำกับและเขียนบทของหนังเรื่องนั้นชมต่อ ซึ่งในเน็ตฟลิกซ์ก็มี ‘Good Time’ งานก่อนหน้า ‘Uncut Gems’ ให้ได้ชมกันอีกหนึ่งเรื่อง
งานนี้สองพี่น้องแซฟดีได้โรเบิร์ต แพ็ตทินสันมารับบทนำ ซึ่งนักแสดงหนุ่มรายนี้ก็มอบการแสดง รวมไปถึงภาพลักษณ์ ที่ทำให้ลืมว่านี่คือเจ้าของบทแวมไพร์ฟรุ้งฟริ้ง – เอ็ดเวิร์ด คัลเลน จากงานสยองขวัญ (?) – โรแมนติก ‘The Twilight Saga’ ไปได้สนิท
แล้วหากเทียบกับการแสดงที่แพ็ตทินสันเล่นไว้ในงานล่าสุด ‘The Lighthouse’ ก็ต้องบอกว่า ด้วยรสนิยมส่วนตัว ชอบการแสดงในหนังเรื่องนี้ของพี่น้องแซฟดีมากกว่า
หนึ่ง… เพราะไม่รู้สึกถึง ‘ความพยายาม’ และสอง… ดูเป็นธรรมชาติกว่า ส่วนหนึ่งก็น่าจะเป็นเพราะเนื้อหนังไม่ได้ถึงกับบีบคั้น กดดันอย่างที่ ‘The Lighthouse’ นำเสนอ ที่มาเต็มทั้งบรรยากาศ ทั้งการแสดง
แต่เอาเข้าจริง ๆ กับเรื่องราวของเด็กหนุ่มที่พาน้องชายออทิสทิกไปร่วมปล้นแบงก์ แล้วน้องดันถูกจับ และได้รับบาดเจ็บจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ทำให้พี่ชายต้องไปฉกตัวจากเตียงพยาบาล แต่ถึงจะเอาออกมาสำเร็จ เรื่องก็ยังไม่จบง่าย ๆ เมื่อมีความผิดพลาดบางอย่างเกิดขึ้น และยิ่งเขาพยายามหาทางแก้ไข-หาทางออกมันก็ยิ่งไปกันใหญ่ กลายเป็นความยุ่งยาก ความวุ่นวาย ที่นัวเนียไปกว่าเดิม ไม่ผิดไปจากลิงแก้แห
ถือเป็นงานที่เล่นกับอารมณ์ ความรู้สึกของผู้ชมไม่ต่างกัน แต่ด้วยพื้นที่ ตัวละคร และสถานการณ์ที่หลากหลายมากกว่า ทำให้ ‘Good Time’ มีความตื่นเต้น ลุ้นระทึกแบบงานแอ็คชัน ที่ดูเพลินกว่าชัดเจน
ตัวละครที่พยายามจัดการกับปัญหา ที่ไป ๆ มา ๆ กลับทำให้อีรุงตุงนังมากขึ้นของหนัง ก็อยู่ในเส้นทางเดียวกันกับตัวละครจากหนังเรื่องต่อมาของพี่น้องแซฟดี – ‘Uncut Gems’ ที่ต่างออกไปก็คือ ใน ‘Good Time’ หนังอัด-ขยี้-บี้ผู้ชมได้ไม่หนักหน่วงเท่า ทั้งในแง่ของสถานการณ์ที่ต้องเผชิญ ทั้งการนำเสนอของผู้กำกับ ที่มีช่องว่างให้ได้หายใจหายคอเป็นพัก ๆ และบ่อยกว่า ซึ่งหมายความว่าผู้ชมก็มีเวลาผ่อนคลายเป็นระยะ ๆ ไปด้วยเช่นกัน
ที่สำคัญตัวละครของโรเบิร์ต แพ็ตทินสัน แม้จะไม่ใช่คนดีเด่ แต่ความพยายามรับผิดชอบกับความผิดพลาดของตัวเองอย่างเต็มที่ และการกระทำหลาย ๆ ครั้งก็เป็นไปเพราะถูกสถานการณ์บังคับจนต้องตกบันไดพลอยโจน ไม่ใช่เพราะรนหาที่ ทำให้ผู้ชมยังเหลือพื้นที่สำหรับความ ‘รัก’ ให้ และมีพื้นที่ให้เอาใจช่วย ไม่ใช่เป็นตัวละครน่ารำคาญ ก่อความอึดอัดขัดเคืองอยู่ตลอดเวลา อย่างที่แซฟดีสร้างขึ้นมาและแซนด์เลอร์เล่นได้อย่างแสบสันต์ใน ‘Uncut Gems’
จนความ ‘แรง’ ในความรู้สึกของ ‘Good Time’ ดูเบาบางกว่าเยอะ
บทสรุปในตอนท้ายก็ไม่ถึงกับอึ้งเหมือนที่ ‘Uncut Gems’ ทำไว้ โดยเฉพาะการทำให้ผู้ชมอยากเห็นรอยยิ้มและความสุขของตัวละครที่รำคาญมาตลอดทั้งเรื่องได้สำเร็จ
แต่อย่าลืมว่า นี่คือการดู ‘Good Time’ ผิดจากช่วงเวลาที่เป็นไป เพราะนี่คืองานที่มาก่อน ‘Uncut Gems’ ไม่ใช่มาทีหลัง ซึ่งถ้าชั่งน้ำหนัก และจัดวางความเป็นกลางได้
จะพบว่าหนังเรื่องล่าสุดของพี่น้องแซฟดี ก็คือการอัพเกรดสิ่งที่ได้เห็นใน ‘Good Time’ นั่นเอง
โดย นพปฎล พลศิลป์ คอลัมน์ ชำแหละแผ่นฟิล์ม นิตยสารเอนเตอร์เทน ฉบับที่ 1299 ปักษ์แรกมีนาคม 2563
[one_half][/one_half][one_half_last][/one_half_last]