
เพิ่งได้ดูอีเจฮุนมาหมาด ๆ ใน ‘Taxi Driver’ ก็ต้องเจอกันอีกในซีรีส์เรื่องนี้ ที่ว่าด้วยเรื่องราวของโจซึงวู – คุณอาอดีตนักโทษ ที่ต้องมาดูแลกือรู (ทังจุนซัง) หลานชายที่ป่วยเป็นแอสเพอร์เกอร์ แทนพ่อที่เพิ่งเสียชีวิตไป โดยเขาต้องช่วยหลานดำเนินกิจการบริษัทเก็บข้าวของผู้เสียชีวิต ที่ใช้ชื่อเดียวกับซีรีส์ รวมถึงต้องเข้ากับหลานชายคนนี้ให้ได้ โดยมีเงินทองเป็นเป้าหมาย
ซีรีส์เปิดเรื่องได้อย่างน่าสนใจและมีเสน่ห์เฉพาะตัว เมื่อหน้าที่การงานของกือรูกับพ่อไม่ได้แค่เก็บสิ่งของต่าง ๆ ของผู้เสียชีวิต ที่ล้วนเป็นผู้คนซึ่งอยู่เพียงลำพัง ชีวิตดูอ้างว้าง ไม่ต่างไปจากคนที่ถูกทอดทิ้ง หรือไร้ญาติขาดมิตร ให้เสร็จ ๆ แต่ทำเหมือนเป็นพิธีกรรมบางอย่าง ที่ให้ความสำคัญกับทั้งผู้ที่จากไป และสิ่งของที่หลงเหลืออยู่ โดยเก็บรวบรวมสิ่งที่ ‘น่าจะ’ มีความสำคัญใส่กล่องสีเหลือง เพื่อส่งมอบให้กับญาติหรือผู้เกี่ยวข้อง
ซึ่งทำให้ให้เห็นถึงชีวิตของผู้คนในเมืองใหญ่ทุกวันนี้ ที่มักจะอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไร้ผู้คนสนใจ หรือห่วงใย ตายจากไปเพียงลำพัง แล้วไม่ใช่มีแค่นี้ ยังเติมความซับซ้อนเข้ามาอีก เมื่อมีการตามหาความจริง หรือสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหลังการจากไปของหลาย ๆ ชีวิต ตลอดจนตามหาคนที่ต้องรับกล่องเก็บของสีเหลือง ที่ถูกเล่าด้วยรูปแบบหลากหลาย ทั้งในสไตล์หนังสืบสวน สอบสวน งานดรามา หรือว่าทางโรแมนติก ที่ชีวิตของผู้คนแต่ละรายซึ่งกือรูและ (พ่อ) อาได้พบเจอ ก็เผยปัญหาอื่น ๆ ในสังคมเกาหลีไปพร้อม ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเด็กเกาหลีที่ถูกชาวต่างชาติรับเป็นบุตรบุญธรรมแล้วถูกทอดทิ้ง จนไม่สามารถอยู่ในสังคมไหนได้, บริษัทที่ปัดความรับผิดชอบ เมื่ออุบัติเหตุในการทำงานทำให้พนักงานบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ไปจนถึงเรื่องความสัมพันธ์ของผู้คน อย่าง ความรักต้องห้ามในสังคมเกาหลี, ลูกชายที่มองข้ามความรักและใส่ใจของแม่จนสายเกินไป, คู่รักวัยชราที่ชีวิตคู่แม้จะจบลงแบบโศกนาฏกรรม แต่ก็ดูสวยงาม หรือความรักที่มาพร้อมกับการคุกคาม
ทั้งหมดทั้งมวลนำเสนอได้อย่างน่าติดตาม และเผยแง่มุมต่าง ๆ ของชีวิตที่มักจะถูกละเลย ก่อนจะปิดจบลงอย่างน่าประทับใจได้ในทุกครั้ง
แล้วก็ไม่ใช่มีแค่เรื่องการปฏิบัติงานของบริษัทมูฟทูเฮฟเวน ความสัมพันธ์ของตัวละครศูนย์กลางของเรื่อง กือรูกับคุณอาตัวแสบก็ถูกเล่าขนานไปกับการทำงานแต่ละครั้งของบริษัทมูฟทูเฮฟเวน และพัฒนาไปเรื่อย ๆ อย่างเป็นขั้นเป็นตอน แล้วทั้งสองคนต่างก็มีเรื่องราวของตัวเอง ซึงวูกับความรับผิดชอบที่มีต่อเพื่อนรุ่นน้อง ที่ทำให้ต้องก้าวเข้าสู่สังเวียนเถื่อนอีกครั้ง ความเป็นมาของกือรู ที่เผยถึงชีวิตของพ่อและแม่ของเขาไปในคราวเดียวกัน ก็ช่วยให้ ‘Move to Heaven’ มีเรื่องราวที่หลากหลายให้ติดตาม
มองแค่ตัวเรื่องอาจจะรู้สึกจริงจัง เคร่งขรึม แต่จริง ๆ แล้วภาพรวมนั้นจะอยู่ในโทนของงานฟีลกูด ดูอบอุ่น มีอารมณ์ขันแทรกเป็นระยะ ๆ มีขยี้อารมณ์บ้าง หากไม่มากจนเกินเหตุ
แต่ที่ผิดไปจากที่เริ่มต้นก็คือ ทันทีที่หันมาเล่นเรื่องที่เป็นของตัวละครหลักในครึ่งหลัง ‘Move to Heaven’ ก็หมดเสน่ห์ ดูเป็นสูตรสำเร็จ รวมถึงกลายเป็นงานฟีลกูดจนเกินเหตุ โดยเฉพาะมุมมองต่อเรื่องชีวิตของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของกือรู พี่ชายของซังวู
มุมหนึ่งอาจจะมองได้ว่า ซีรีส์กำลังแสดงให้เห็นถึงการมองโลกในสายตาที่เป็นบวก การให้ความรู้สึกดี ๆ กับคนรอบข้าง สามารถสร้างสิ่งดีงามต่อสังคมได้ขนาดไหน แต่ดูแล้วกลับรู้สึกว่า เป็นความพยายามที่ ‘มาก’ เกินไป และไม่รับกับการนำเสนอภาพชีวิตที่บางทีอาจจะเศร้า บางทีอาจจะหดหู่ ในช่วงแรก ที่แม้จะผ่านการปรุงแต่ง หากก็ดู ‘จริง’ มากกว่า และทำให้ช่วงครึ่งหลังของซีรีส์ไม่ได้ดูสนุก หรือน่าติดตามเช่นที่เป็นมาก่อนหน้า
ที่จะว่าไปแล้ว ออกไปย้วย เลยด้วยซ้ำ
การแสดง โดยเฉพาะของตัวละครที่เป็นศูนย์กลางของเรื่อง ซึ่งจากลักษณะตัวละครอาจทำให้นึกถึงพี่ชายออติสติกกับน้องชายเพลย์บอยที่หวังมรดกด้วยการดูแลพี่ ใน ‘Rainman’ แต่เปลี่ยนมาเป็นหลานชายที่เป๋นแอสเพอร์เกอร์กับอาจอมกะล่อน เจฮุนทำได้ดีจนลืมภาพแท็กซีขาลุยใน ‘Taxi Driver’ ได้สนิทใจ แม้ช่วงแรก ๆ อาจจะขัดหูขัดตาอยู่บ้าง แต่ก็ค่อย ๆ กลืนกับบท ลงตัวเข้ากับเรื่องมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งสวนทางกับจุนซังที่เริ่มต้นได้ดี แต่กลับกลายเป็นตัวละครที่ทำให้รู้สึกถึงการ ‘แสดง’ มากขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงหลัง
เมื่อรวมเข้ากับตัวเรื่อง ที่อารมณ์ ความน่าติดตาม ความน่าสนใจ เป็นกราฟดิ่งลงไม่แพ้กัน ‘Move to Heaven’ จึงไม่ใช่งานที่ทำให้รู้สึกเหมือนขึ้นสวรรค์อย่างที่ชื่อเรื่องว่าเอาไว้
หรือถ้าจะเป็นได้ ก็แค่ช่วงเวลาที่ว่าด้วยการทำงานของบริษัทมูฟทูเฮฟเวนเท่านั้นเอง
(Move to Heaven ทางเน็ตฟลิกซ์)
โดย นพปฎล พลศิลป์ คอลัมน์ ชำแหละแผ่นฟิล์ม นิตยสารเอนเตอร์เทน ฉบับที่ 1334 ปักษ์หลัง สิงหาคม 2564
ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านวิจารณ์หนังและเพลง ได้ด้วยการกดไลค์เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่