OBLIVION: งานชิ้นที่สองของโจเซฟ โคซินสกี้ ที่งานด้านโปรดัคชั่น ดีไซน์ยังคงความโดดเด่นไม่แพ้หนังเรื่องแรก Tron: Legacy ที่จะว่าไปแล้ว Oblivion จะดู “ล้ำ” และ “เก่” กว่าด้วยซ้ำไป
หนังเปิดเรื่องเหมือนเป็นงานไซ-ไฟ นิ่งๆ ดูเหงาๆ อารมณ์ใกล้ๆ กับช่วงแรกของแอนิเมชั่น Wall-E บรรยากาศของโลกที่ถูกทิ้งร้าง การปฏิบัติภารกิจที่ซ้ำซาก น่าเบื่อหน่าย ชีวิตเต็มไปด้วยความจำเจ มีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างในแง่มุมเดิมๆ จากความนิ่งเรื่อย หนังค่อยๆ เติมความตื่นเต้นแบบงานเขย่าขวัญเข้ามาช้าๆ วางปมที่น่าสงสัยทีละนิดๆ และเมื่อหนังเปิดตัว ตัวละครที่เป็นตัวแปรสำคัญของเรื่อง หนังก็เข้มข้นมากขึ้น รวมทั้งเผยด้านโรแมนติคของตัวเองออกมา ทำให้หนังที่น่าจะดูแข็งๆ ให้ความรู้สึกแห้งแล้ง กลับมีชีวิตชีวาขึ้นมา
ถ้าบทเทน้ำหนักให้ความสัมพันธ์ของตัวละครที่กลายเป็น “รักสามเส้า” ได้มากกว่านี้ เล่าเรื่องได้กระชับอีกสักนิด Oblivion ก็น่าจะทำให้ประทับใจได้เต็มๆ เพราะกับงานโปรดัคชั่น ไม่ว่าจะเป็นฉาก การออกแบบอุปกรณ์ต่างๆ ในหนังก็ทำออกมาได้อย่างตื่นตา น่าทึ่ง มุมกล้องเน้นภาพมุมกว้าง ที่ทำให้การชมใน ไอแมกซ์ เป็นอีกประสบการณ์หนึ่งจริง สมกับดนตรีประกอบที่ส่งให้หนังดู “ใหญ่” อลังการ
ตัวเรื่องเองจากที่เป็นงานไซ-ไฟ, แอ็คชั่น แล้วใส่ความโรแมนติคเติม ก็ยังมาพร้อมกับเรื่องหักมุม ที่ทำได้อย่างมีชั้นเชิง ไม่ซับซ้อนจนยากเกิน แต่ก็ไม่ง่ายจะรู้สึกว่า จะพลิกผันกันไปทำไม
เป็นงานขายสไตล์ แต่เรื่องราว ก็ดูได้สนุก และไม่ถึงกับต้องออกมาถกกันนอกโรง เหมือน Prometheus
โดย นพปฎล พลศิลป์