
PAPER TOWNS: เป็นหนังที่จบลงด้วยแง่มุม ความคิดดีๆ โดยเฉพาะกับคนในยุคนี้ ที่พยายามไขว่คว้าหา “สิ่งมหัศจรรย์” มาให้กับชีวิตตัวเอง แล้วไปตั้งเป้าอยู่ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก่อนจะพบว่า ตัวเองไม่มีปัญญา หรือหาทางทำอะไรได้มากกว่าที่เป็นอยู่ ทำได้ก็เพียงแค่มอง และเก็บไว้เป็นความทรงจำโดยที่ไม่ได้ทำอะไร
ทั้งๆ ที่จริงแล้ว ‘สิ่งมหัศจรรย์’ สามารถเกิดขึ้นกับเราได้ทุกวัน ทุกคน เพียงแต่หลายๆ คนดูจะมองข้ามไป ไม่ว่าจะเป็น โอกาสในการเมาหยำเป กับเพื่อนที่รักที่สุด ก่อนที่จะไม่ได้เจอกันอีก การได้เล่นสนุกกับคนอื่นๆ เหมือนเด็ก ในวันที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่
หนังเหมือนจะบอกว่า ทุกคนมีสิ่งมหัศจรรย์ หรือความมหัศจรรย์อยู่ในตัวทั้งนั้น แต่เรามองข้ามมันเพราะความใกล้ตัวหรือความคุ้นเคย เหมือนที่ตัวละครในเรื่อง พยายามตามหา ‘เมืองกระดาษ’ ซึ่งเป็นเมืองปลอมที่คนทำแผนแอบใส่ไว้ในแผนที่ของตัวเอง เพื่อเช็คว่ามีใครก็อปงานของตัวเองไปไหม แล้วพบว่า ‘สิ่งมหัศจรรย์’ ของเขาเป็นอะไรที่แสนธรรมดา มากกว่าสิ่งที่เขาได้พบและสัมผัสระหว่างเดินทางมาที่เมืองกระดาษแห่งนี้ซะด้วยซ้ำ
จากหน้าตาที่เหมือนเป็นงานโรแมนติค จริงๆ แล้ว Paper Towns คือหนังก้าวพ้นวัย ที่บอกเล่าเรื่องราวของชีวิตเพื่อนวัยรุ่นกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง ที่เป็นคนสามัญในโรงเรียน เป็นคนที่ไม่ได้เด่นดังอะไร ที่ท้ายที่สุดการเดินทางตามหาความรักของเพื่อนในกลุ่ม ก็ทำให้พวกเขาได้เติบโต ได้พบกับประสบการณ์ชีวิตใหม่ๆ ที่จะทำให้พ้นจากความเป็นเด็ก
ประเด็นของหนังมาดี คม และโดนใจ แต่น่าเสียดาย ที่ในความเป็นภาพยนตร์หนังดูจะเล่าเรื่องได้ไม่คมเท่า หลายๆ ช่วงของหนังเดินหน้าไปด้วยบทสนทนาที่ยืดยาว หรือสถานการณ์ที่น่าจะหั่นตัดออกไปได้ อาจจะมีอารมณ์ขันมาแกล้มบ้าง แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก นักแสดงเองแม้จะเล่นได้ดี เป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะก๊วนสามหนุ่ม แต่ก็เหมือนกับเลือกนักแสดงมาผิดหากดูจากภาพลักษณ์ ด้วยความที่ดูเหมือนเป็นผู้ใหญ่กับเด็ก หรือเด็กม. ปลายมากๆ กับม. ต้นสุดๆ จนขัดตาอยู่บ้าง
ตัวหนังเองก็พยายาม บิลท์อารมณ์ผู้ชมจนเกินเหตุ จากการใส่บรรดาเพลงป็อปประดามีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แม้จะเพราะ แต่กับอะไรที่เยอะ และดูจงใจ มันก็มักจะให้ผลในทางตรงกันข้าม พาลพาให้หนังมีอารมณ์แบบงานที่ถูกเซ็ทจนเกินไป
ท้ายที่สุด ตัวหนังก็ไม่ต่างไปจากความหมายของชื่อตัวเอง และประเด็นของเรื่อง
แล้วก็ไม่น่าแปลกใจ ที่ไม่มี ‘สิ่งมหัศจรรย์’ เกิดขึ้นกับหนังเรื่องนี้ แบบที่เคยเป็นกับ The Fault in Our Stars
โดย นพปฎล พลศิลป์
สามารถกดไลค์ Like ติดตามเพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่