เป็นประเด็นอยู่พักใหญ่ หลังตัวอย่างแรกของหนัง เผยหน้าตาตัวละครในแบบที่แฟนๆ วิดีโอเกมไม่แฮปปีสักเท่าไหร่ ทำให้ต้อลงงบสร้างอีกอย่างน้อยก็ราวๆ 5 ล้านเหรียญ สำหรับจัดการเรื่องภาพลักษณ์ของตัวละคร โดยยังไม่ต้องไปนึกถึงว่า การที่หนังต้องเลื่อนฉายจากเดือนพฤศจิกายน 2562 มาเป็นกุมภาพันธ์ 2563 จะส่งผลกระทบกับเรื่องของการวางแผนการตลาดยังไงบ้าง
แต่จากผลลัพธ์ที่ออกมา เงินทองที่ใส่ลงมาและเวลาที่เสียไป อยู่ในข่ายให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า เพราะเจ้าโซนิค เม่นสายฟ้าเวอร์ชันสอง ดูเป็นมิตรและมีความน่ารักมากกว่า แต่ก็เป็นแค่เรื่องภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น ของจริงมันอยู่ที่เนื้อหนัง ว่าจะออกมาดูสนุกและสร้างความสุขให้ผู้ชมได้ไหม โดยเฉพาะการเป็นหนังครอบครัว ที่ส่วนใหญ่มุ่งเอาใจบรรดาเด็กๆ มากกว่าจะทำให้ผู้ใหญ่ที่พาไปสนุกด้วยได้
แม้ท้ายที่สุด ก็ไม่พ้นหนังที่เด็กๆ บันเทิงได้มากกว่าผู้ใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่งานน่าเบื่อสำหรับคนที่พ้นวัยกลุ่มเป้าหมายไปแล้ว ซึ่งต้องให้เครดิทกับซูเปอร์สตาร์จากยุค ’90s ที่แม้ชื่อเสียงจะถดถอย เรียกผู้ชมได้ไม่เหมือนที่เคยเป็นในช่วงพีคๆ แต่สิ่งที่จิม แคร์รีย์แสดงให้เห็นใน Sonic the Hedgehog ก็คือการแสดงที่กลายเป็นสีสันของหนัง
ในระดับที่หากเจ้าโซนิคได้ใจบรรดาเด็กๆ และทำให้ผู้ใหญ่รู้สึกเอ็นดูได้
ดร. โรบ็อตนิคที่จิม แคร์รีย์เล่น นอกจากจะทำให้เด็กๆ ตื่นเต้นกับท่วงท่า ลีลาที่จัดจ้านไม่แพ้ตัวละครซีจีอย่างโซนิค บรรดาผู้ใหญ่ก็ได้มันส์กับการแสดงของเขา ในแบบที่เคยสนุกกับ Ace Ventura: Pet Detective และแน่นอน The Mask กันอีกครั้ง เมื่อแคร์รีย์มอบการแสดงที่เปี่ยมไปด้วยพลังในแบบที่สร้างชื่อให้ โดยที่ไม่รู้สึกว่าเป็นความพยายามจนไม่เป็นธรรมชาติ เหมือนที่งานในยุคหลังๆ ทำให้รู้สึกแบบนั้น
และทำให้ตัวละครของเขาฟัดกับเจ้าโซนิคได้สนุก ทั้งการแสดงรับ-ส่ง ทั้งการสร้างสมดุลย์ให้กับเรื่อง เมื่อตัวละครสองรายต่างก็ฉูดฉาดไม่แพ้กัน
ในเรื่องอารมณ์ขันก็คลับคล้ายกัน เด็กๆ อาจจะหัวเราะไปกับโซนิค ที่ผู้ใหญ่อาจจะรู้สึกว่าเป็นมุขพื้นๆ ดาดๆ ไปหน่อย แต่กับดร. โรบ็อทนิค ทั้งท่าทาง การพูดการจา โดยเฉพาะในยามที่มีลิ่วล้อร่วมฉาก ทำให้หัวเราะออกมาได้ไม่ยาก
ตัวละครของเจมส์ มาร์สเดนและทิกา ซัมป์เตอร์ คู่พระ-คู่นางของหนัง อาจจะจืดไปเมื่อเทียบกับเจ้าของชื่อเรื่องกับตัวร้าย แต่ทั้งคู่ก็ดึงไม่ให้หนังหลุดไปเป็นการ์ตูนจนเกินเหตุ และช่วยให้หนังมีประเด็น มีเรื่องราวที่มากกว่าการล่าตัวของโซนิค เพื่อหาแหล่งที่มาของพลังงานในตัวโดยดร. โรบ็อทนิค เมื่อบททอม วาชอว์สกีของมาร์สเดน คือตัวละครที่อยากพิสูจน์ตัวเองในเมืองใหญ่ จนลืมนึกไปว่าที่ไหนที่เหมาะและต้องการเขามากกว่า
ตัวโซนิคและดร. โรบ็อทนิคเอง ก็ไม่ได้ขึ้นจอด้วยความว่างเปล่า ทั้งสองรายต่างก็เป็นคนเหงาที่ไม่มีเพื่อนหรือเข้ากับใครไม่ได้ แต่เพราะการหาทางออกไม่เหมือนกัน ทั้งคู่ก็เลยแตกต่างกันอย่างที่เห็น ซึ่งตัวหนังดูจะปูปมตรงนี้ให้โซนิคได้ชัดเจนเป็นเรื่องเป็นราวมากกว่าดร. โรบ็อทนิค จนฝ่ายหลังดูมีมิติน้อยไป
หนังจบแบบมีฉากหลังเอนด์ เครดิท และมีติ่งของเรื่องที่สานต่อออกไปได้อีก (ถ้าจะทำ) ที่เป็นไปในแบบชวนให้อยากรู้ อยากติดตามอยู่เหมือนกัน
โดย นพปฎล พลศิลป์ คอลัมน์ ชำแหละแผ่นฟิล์ม นิตยสารเอนเตอร์เทน ฉบับที่ 1299 ปักษ์แรก มีนาคม 2563