TAKEN 3: ถือว่าดีไปอย่าง ที่หนังไม่ต้องให้มีใครโดนจับตัวไปเหมือนหนังภาคก่อนๆ นัยว่าเลี่ยงความซ้ำซากได้ในระดับหนึ่ง แต่ที่เหลือหนังก็ยังเป็นงานแอ็คชัน แบบนอน-สต็อป ที่น่าจะถูกใจแฟนประจำของหนังแนวนี้เหมือนที่เคยเป็น แล้วอาจจะเป็นเพราะความสำเร็จของหนังเรื่องก่อนๆ หน้า ทำให้สามารถใส่ากแอ็คชันที่ใหญ่ และดูอลังกว่าเดิม ในโลเคชันที่ผลาญงบได้มากกว่า
พล็อตเองก็พยายามมีหักมุม พลิกผัน หลอกล่อผู้ชมอยู่เหมือนกัน แต่ไปๆ มาๆ การให้ตัวร้าย (ที่ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือพลาด ที่แอบแล่บขอบไพ่มาให้เห็นหน้าตั้งแต่ช่วงต้นๆ) เป็นใครบางคนที่ใกล้ชิดกับครอบครัวของมิลส์ (นีสัน) ที่พอเฉลยกรรมวิธีคิด สาเหตุมาในตอนท้าย ก็ไม่ได้ทำให้หนังหนักแน่น หรือจริงจังกว่าเดิมสักเท่าไหร่ แถมยังอ่อนด้อยกว่าที่เป็นในหนังภาคแรกด้วยซ้ำ ส่วนการเติมบทเจ้าหน้าที่ตำรวจของฟอเรสท์ วิเทเกอร์เข้ามา ก็เป็นเพียงสีสันวูบวาบ หรือแค่เพิ่มโจทย์ที่แก้ไม่ยากให้มิลส์มาอีกข้อเท่านั้นเอง
แล้วตัวละครไบรอัน มิลส์ ของเลียม นีสันเอง ก็เห็นได้ชัดว่า ไม่ใช่แค่ตัวละครที่อ่อนล้า แต่ลุงเลียมก็ดูท่าจะกรอบลงไปเยอะ ยิ่งหนังเน้นการลุยเดี่ยวแบบใช้กำลัง ร่างกาย มากกว่าใช่ความคิด หรือมีเรื่องความเฉลียวฉลาดเข้ามาเกี่ยวข้องแบบตอนก่อนๆ ก็ยิ่งทำให้เห็นอาการโรยของลุงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ความฉับไวที่ลดลง สีหน้า แววตาที่ร่วงโรย
กับฉากแอ็คชันก็ไม่ได้มีอะไรใหม่ แต่ในแง่ความมันส์ การใส่ฉากแอ็คชันที่ดูต่อเนื่อง ก็พอทำให้ Taken 3 ดูเพลินพอได้อยู่ ในแบบที่ไม่รู้สึกว่าเป็นหนังภาคต่อ แต่เป็นหนังทำซ้ำ หรือเป็นความจำเจยังไงๆ ก็ไม่รู้
คำเตือน: ถ้าไม่อยากดูหนังแอ็คชัน เอามันส์ และไม่ใช่แฟนหนังชุดนี้มาตั้งแต่ต้น โปรดหลีกเลี่ยง
โดย นพปฎล พลศิลป์
ให้กำลังใจด้วยการกด Like เพจสะเด่าส์ได้ ที่นี่