THE BFG: จากนิยายของโรอัลด์ ดาห์ล, เขียนบทโดย เมลิสสา แมธีสัน เจ้าของผลงานอย่าง E.T. The Extra-Terrestrial ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว และทำให้งานชิ้นนี้เป็นงานชิ้นสุดท้ายของเธอ และกำกับโดย สตีเวน สปีลเบิร์ก กับเรื่องราวที่ว่าด้วย การเก็บเกี่ยวและสร้างความฝัน รวมไปถึงทำให้ความฝันนั้นเป็นจริง
ทุกอย่างทำให้งานชิ้นนี้เหมือนว่า อยู่ในมือของดรีมทีมแห่งวงการ ซึ่งบางจริงสิ่งที่มองเห็นกับสิ่งที่เป็นก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน เช่นเดียวกับความฝันและความจริง
โซฟี เด็กหญิงในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ถูกยักษ์ใหญ่ตนหนึ่งที่เธอตั้งชื่อให้ในเวลาต่อมาว่า บีเอฟจี (BFG – Big Friendly Giant) ที่ทำหน้าที่เก็บ-สร้าง และมอบความฝันให้ผู้คน จับตัวไปยังดินแดนของพวกยักษ์ ที่ยังมียักษ์ขนาดใหญ่กว่าบีเอฟจีอาศัยอยู่อีกถึง 9 ตน แต่นั่นคงไม่น่ากลัวหากพวกเขาเป็นยักษ์กินผักอย่างบีเอฟจี ที่สำคัญพวกมันได้กลิ่นของเธอ และทำให้บีเอฟจีต้องหาทางซ่อนเธอเอาไว้ แต่โซฟีกลับไม่คิดอย่างเขา และนั่นก็ทำให้ชีวิตของทั้งคู่เปลี่ยนไปตลอดกาล
สองตัวละครหลักของ The BFG ต่างก็เป็นตัวละครที่มาพร้อมกับความเหงา เป็นคนที่ไม่มีใครสนใจ หรือยกย่องในสังคมของตัวเอง แต่ที่แตกต่างกันไปก็คือ ขณะที่โซฟีพยายามหาโอกาสไปพบหรือสู้เพื่อสิ่งที่ดีกว่า แต่บีเอฟจีกลับยอมที่จะทนอยู่กับชีวิตในแบบเดิมๆ ซึ่งก็ละม้ายคล้ายคลึงกับชีวิตของเด็กๆ กับคนแก่ ที่ฝ่ายหนึ่งเต็มไปด้วยพลังชีวิต แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่กล้าออกไปจากพื้นที่ ที่ตัวเองคุ้นเคย หรือโซนปลอดภัย ที่มาถึงท้ายที่สุด ฝ่ายหนึ่งก็ทำให้อีกฝ่ายมีความคิดที่เปลี่ยนไปจากเดิม และนำไปสู่การหลุดพ้นจากชีวิตที่จำเจ รวมไปถึงการตกเป็นเบี้ยล่างของใครบางคน
กับคำวิจารณ์ที่ออกมาให้ได้ยินกัน หลายๆ เสียงบอกว่า บีเอฟจีคืออีทีในยุคนี้ของสปีลเบิร์ก ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ไม่น่าจะใช่ แต่ว่าก็มีส่วนใกล้เคียงบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นตัวละครที่ต่างก็เป็นคนซึ่งถูกทอดทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นอีทีหรือบีเอฟจี ไม่ว่าจะเป็นเอลเลียตต์, เกอร์ตี้ หรือว่าโซฟี รวมไปถึงโทนหนังที่จบลงในแบบที่อบอุ่น
แต่นอกเหนือไปจากนั้น The BFG ทำให้รู้สึกถึงมนต์ขลังในแบบพ่อมดที่บอกเล่าเรื่องราวที่เป็นเทพนิยายยุคใหม่ของสปีลเบิร์ก ที่อ่อนล้า โรยราไปเยอะ โดยเฉพาะการเล่าเรื่องในช่วงแรก ที่กลายเป็นหนังที่เดินหน้าไปด้วยบทสนทนา มีช่วงเวลาพยายามสร้างความประทับใจที่แสนจะหนืดเนือย หากจะพูดให้เห็นภาพกันง่ายๆ มันก็คือ การเล่าเรื่องเทพนิยาย นิทานทั้งหลายในสไตล์แบบที่สปีลเบิร์กใช้กับ Lincoln ซึ่งตัวผู้ชมที่เดินเข้าไปในโรงเพื่อชมหนังเรื่องนี้ ไม่ได้คิดว่าจะเจออะไรแบบนั้นแน่ๆ
แม้เทคนิคพิเศษจะเยี่ยมขนาดไหน การแสดงจะแข็งแรงปานใด ไม่ว่าจะเป็นอีหนู รูบี้ บาร์นฮิลล์ ที่เล่นเป็นโซฟี หรือมาร์ค ไรแลนซ์ ที่เป็นบีเอฟจี ซึ่งรับ-ส่งกันได้เป็นอย่างดี จะมาช่วยอุ้มไว้ แล้วศักยภาพของไรแลนซ์นั้นต้องบอกว่าเด่นทะลุซีจีกันเลยทีเดียว ก็ไม่สามารถทำให้หนัง ‘ฮึ้บ’ ขึ้นมาได้ จนถึงในช่วงท้ายนั่นแหละ ที่ The BFG ถึงมาพร้อมกับความบันเทิงที่ควรจะเป็น บางทีนั่นก็อาจจะสายเกินไปก็เป็นได้ ที่สำคัญมันดูไม่จับใจอย่างที่ควรจะเป็น
บางทีจากที่เคยเป็นเด็กในร่างผู้ใหญ่ เล่าเรื่องที่เต็มไปด้วยจินตนาการมากมาย มาถึงวันนี้สตีเวน สปีลเบิร์ก ดูจะโตเกินไปสำหรับการทำในสิ่งที่เขาเคยช่ำชองกับมันเป็นอย่างดี และทำให้ The BFG เป็นได้ก็หนังที่มีแก่นเรื่อง ประเด็นงดงาม แต่ในแง่ความบันเทิง คงต้องว่ากันไปรสนิยม
ควรชมหากชอบ: Charlie and Chocolate Factory, James and the Giant Peach, E.T. The Extra-Terrestrial
โดย นพปฎล พลศิลป์
ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านงานวิจารณ์หนัง และเพลง แบบนี้ ได้ด้วยการกดไลค์ Like เพจสะเด่าส์กันไว้ก่อน ได้ที่นี่