
หนังล่ารางวัลอีกเรื่องของปีที่ผ่านมา เป็นงานของแอรอน ซอร์กินมือเขียนบทหนังรางวัลอย่าง ‘The Social Network’ หรือว่า ‘Jobs’ ฉบับที่กำกับโดยแดนนี บอยล์ ซึ่งสร้างจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในปี 1968 เมื่อมีการประท้วงเกิดขึ้น และกลายเป็นการจลาจลในการประชุมพรรคเดโมแคร็ตที่ชิคาโก โดยกลุ่มต่อต้านสงครามเวียตนาม ที่มีผู้ถูกดำเนินคดีในเวลาต่อมารวม 7 ราย ซึ่งกลายเป็นที่มาของการเรียกคนกลุ่มนี้ว่า ชิคาโก 7
โดยเรื่องราวหลักๆ ของหนังก็อยู่ที่กระบวนการพิจารณาคดีของทั้ง 7 คน ที่ทั้งนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาตีแผ่ และแสดงให้เห็นความไม่โปร่งใสของกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะการดำเนินงานแบบใต้ดิน ที่ทำให้ความยุติธรรม ไม่ยุติธรรมอย่างที่ควรจะเป็น
หนังมีลายเซ็นของซอร์กินครบ การเล่าเรื่องที่ขึงขัง ฉับไว และเต็มไปด้วยบทสนทนามากมาย ที่ไม่ใช่เพียงแค่การต่อปากต่อคำ แต่ยังเป็นการแสดงลักษณะของตัวละครออกมาพร้อมๆ กัน ที่หากเป็นคอหนังสายบทสนทนา การเจรจาในหนังเรื่องนี้ในหลายๆ สถานการณ์ ก็ไม่ต่างไปจากการต่อสู้กันในหนังแอ็กชัน แต่ถ้าไม่ใช่ หรือไม่สนุกกับการอ่านบรรยายไทยยาวๆ ละก็ ‘The Trial of the Chicago 7’ ก็คือยาขมเลยก็ว่าได้
เรื่องราวของหนังถูกเล่าในแบบงานเผาหัวช้า ที่ดีกรีความร้อนแรงของเหตุการณ์ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยตัดสลับระหว่างเรื่องในปัจจุบันที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีในศาล กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่พยายามนำเสนอทุกด้านของเหตุการณ์ให้ได้มากที่สุด ที่บางประเด็นก็ถูกปล่อยวางให้ตีความต่อกันเอาเอง ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งในทีมของผู้ประท้วง การกระทำที่กลายเป็นการนำไปสู่การจลาจล ที่จะว่าไปแล้วพวกเขาก็ละเมิดกฏหมายของรัฐจริง แต่เป็นการจัดฉากหรือวางแผนตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่นั้น คำตอบอยู่ในใจของเหล่าแกนนำทุกคน ขณะเดียวกับฝ่ายรัฐเองก็ไม่ได้ทำให้การพิจารณาคดีเป็นเรื่องใสสะอาด หรือมีความโปร่งใส เมื่อมีความพยายามเล่นเกมใต้ดินเพื่อหาทางจัดการกับบรรดาแกนนำทั้งเจ็ดคน
นอกจากบทที่เล่าเรื่องได้ในแบบที่ทวีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ หนังยังได้นักแสดงชั้นดีมากมายมาขึ้นจอ อย่างส่วนหนึ่งของ 7 แกนนำ ก็คือ เอ็ดดี เรดเมย์น (ทอม เฮย์เดน), ซาชา บารอน-โคเฮน (แอบบี ฮอฟฟ์แมน), ยาห์ยา อับดุล-มาทีน ที่สอง (บ็อบบี ซีล) ที่บารอน-โคเฮนได้เข้าชิงออสการ์ แล้วยังมีไมเคิล คีตัน, มาร์ค ไรแลนซ์, โจเซฟ กอร์ดอน-ลิวอิตต์, แฟรง แลนเจลลา ที่เล่นกันได้เยี่ยม จนคนที่หมองที่สุดกลับเป็นเรดเมย์นซะอย่างนั้น เมื่อดูจากบทที่ได้รับ โดยเฉพาะตัวละครที่เขารับบทต้องถูกรายรอบไปด้วยตัวละครที่เปี่ยมไปด้วยสีสัน อย่างที่เห็น
หนังจบลงได้อย่างเจ็บแสบ และคมคาย ซึ่งเผยให้เห็นว่า สงครามเวียตนามเป็นสมรภูมิที่สหรัฐอเมริกาสูญเสียขนาดไหน และชาวอเมริกันเจ็บปวดเพียงใด นอกเหนือไปจากเป็นการแสดงให้เห็นถึงรอยร้าวที่มีอยู่ในประเทศนี้ ที่อาจจะเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้
อาจจะไม่ใช่งานที่บันเทิงนักสำหรับคนดูหนังทั่วๆ ไป แต่สำหรับคอหนังที่สนุกกับบทสนทนามันส์ๆ เรื่องราวที่เข้มข้น และการแสดงแบบถึงๆ ละก็
นี่คือหนังห้ามพลาดอีกเรื่องหนึ่งของปี แม้จะกลับบ้านมือเปล่าบนเวทีออสการ์ก็ตาม
(THE TRIAL OF CHICAGO 7 ทางเน็ตฟลิกซ์)
โดย นพปฎล พลศิลป์ คอลัมน์ ชำแหละแผ่นฟิล์ม นิตยสารเอนเตอร์เทน ฉบับที่ 1330 ปักษ์หลังมิถุนายน 2564
ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านวิจารณ์หนังและเพลง ได้ด้วยการกดไลค์เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่