Stoker (2013): ดอกไม้(โรคจิต)ที่มิอาจเลือกสี
โดย เกรียนหนัง
จาก https://www.facebook.com/photo.php?fbid=161358410687160&set=a.113215048834830.20429.112834835539518&type=1&theater
ผลงานโกอินเตอร์ชิ้นแรกของ ปาร์ค ชาน วุค อีกหนึ่งผู้กำกับแถวหน้าของเกาหลีที่โด่งดังมาจากหนังล้างแค้นจิตป่วยอย่าง Oldboy (2003) จนได้ข้ามน้ำข้ามทะเลไปทำหนังถึงฮอลลีวู้ด
แต่ดูเหมือนว่าที่สุดแล้ว นี่ยังไม่ใช่ผลงานที่ทำให้ปาร์ค ได้เครดิตเพิ่มขึ้นในฐานะผู้กำกับระดับอินเตอร์สักเท่าไหร่ เพราะผลลัพธ์ที่ออกมา ยังเป็นแค่ความเฉียบคมและความบันเทิงระดับกลางๆ ที่ยังห่างไกลจากผลงานในอดีตของเขาอยู่หลายขุม
ในฉากหน้า Stoker เล่าเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์หมิ่นเหม่ในครอบครัวของ 3 ตัวละครหลัก อันประกอบไปด้วย แม่ม้ายกับลูกสาว และคุณอา(ยังหนุ่ม) ซึ่งทั้งหมดเกี่ยวพันกับการฆาตกรรม ชิงรักหักสวาท จนนำไปสู่บทสรุปที่เป็นการล้างแค้นตามแนวถนัดของผู้กำกับ ปาร์ค
ในเชิงลึก หนังพูดถึงการก้าวข้ามวัยเชิงจิตวิทยา (Psychology Coming of Age) โดยมีจุดศูนย์กลางของเรื่องอยู่ที่ อินเดีย ลูกสาววัย 18 ทายาทคนเดียวของตระกูลสโตเกอร์ ที่การตกอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันไม่ปกติในครอบครัว และความรุนแรง(จากการมีส่วนไปรู้เห็นการฆาตกรรม) บวกกับแรงขับทางเพศ ได้หล่อหลอมให้เกิดเป็นความวิปริตบิดเบี้ยวขึ้นมาในจิตใจของเธอ จนเปรียบได้กับดอกไม้ที่ไม่อาจกำหนดสีด้วยตัวเอง
โดยเรื่องราว โปรดักชั่น และงานภาพที่งดงาม เนี๊ยบนิ้งระดับเทพ ต้องบอกว่านี่เป็นหนังที่เกือบจะดีอยู่แล้วเชียว น่าเสียดายตรงที่ผู้กำกับปาร์คเลือกนำเสนอสิ่งเหล่านี้ผ่านการดำเนินเรื่องที่นวยนาด กรีดกราย พร้อมกับตัวละครที่มากด้วยจริตจก้าน ซึ่งอาจจะเคยได้ผลตอนใช้ในหนังเกาหลี แต่พอมาใช้กับหนังฝรั่ง กลับให้ความรู้สึกแปร่ง แปลก และถึงขั้นปลอม ในหลายฉาก
อีกทั้งการปูเรื่องและขยี้ปมในตัวละครหลักอย่าง อินเดีย ซึ่งเล่นกับประเด็นทางจิตเรื่องปมอีเลกตรา (Electra Complex) ก็ถือว่ายังทำออกมาได้ไม่หนักแน่นเท่าที่ควร เมื่อหนังเดินเรื่องไปสู่ฉากสุดท้าย มันเลยยากที่จะทำให้คนดูเชื่อถือในสิ่งที่ตัวละครได้ลงมือกระทำ และได้ “กลายเป็น”
คะแนน : สองดาวจ้า
(ไม่ใช่ความลับสำคัญ แต่ว่ากันว่าในบทหนังต้นฉบับของ เวนท์เวิร์ธ มิลเลอร์ ตัวละครได้นำเนื้อของเหยื่อฆาตกรรมมาทำเป็นอาหาร แต่ที่ปรากฏในหนังเรื่องนี้เป็นการนำเสนอออกมาแบบคลุมเครือ มีเพียงฉากกินอาหารจากเนื้อ (อะไรก็ไม่รู้) ที่ตัวละครหนึ่งไม่แตะต้องอาหารเลย ขณะที่อีกตัวละครหนึ่งกินมันจนหมด เนื่องจากไม่รู้)