ผ่านปี 2019 มาได้สองเดือนกว่าๆ เราได้เห็นกันแล้วว่า หนังเรื่องไหนที่ดูแล้วสมความคาดหวัง ดูแล้วทำเอาเสียดายตังค์มากมาย และในฉบับนี้ เราจะมาดูกันต่อว่า ในปี 2019 ยังมีหนังเรื่องอะไรอีกบ้าง ที่มีเสียงลือเล่าอ้างรอให้เราพิสูจน์ให้เห็นกับตา
THE IRISHMAN: สมาชิกทุกคนในก๊วนแก๊ง ล้วนกลับมาเพื่อหนังอาชญากรรมระดับมหากาพย์ของสกอร์เซซี
ผู้กำกับ: มาร์ติน สกอร์เซซี นักแสดง: โรเบิร์ต เดอ นีโร, อัล ปาชิโน, โจ เปสซี, แอนนา พาควิน, บ็อบบี คาร์นาวาเล, ฮาร์วีย์ ไคเทล, เรย์ โรมาโน
The Irishman ก็คือ หนัง The Avengers ของมาร์ติน สกอร์เซซี และเป็นการกลับมาหาหนังแกงสเตอร์ ที่เขาคือหนึ่งในผู้ให้นิยาม โดยได้นักแสดงอย่าง โรเบิร์ต เดอ นีโร ซึ่งเป็นงานร่วมงานกันครั้งที่ 9 ของเขากับสกอร์เซซี และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ Casino เมื่อ 22 ปีก่อน, ฮาร์วีย์ ไคเทล ที่ร่วมงานกันเป็นครั้งที่ 6 และ โจ เปสซี ที่ร่วมงานกันเป็นหนที่สี่ แล้วก็มีกำลังเสริมอย่าง อัล ปาชิโน ที่ไม่น่าเชื่อว่า นี่เป็นการร่วมงานครั้งแรกของเขากับสกอร์เซซี ซึ่งทำให้จักรวาลภาพยนตร์ของผู้กำกับรายนี้น่าตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หนังสร้างจากหนังสือเรื่อง I Heard You Paint Houses ของชาร์ลส์ แบรนด์ท เมื่อปี 2003 ที่ว่าด้วยชีวิตมือปืนชื่อ แฟรงค์ ‘ดิ ไอริชแมน’ ชีแรน (เดอ นีโร) ที่สังหารเป้าหมายมาแล้วถึง 25 รายให้กับแก๊ง แล้วยังถูกเชื่อมโยงเข้ากับการตายของผู้นำสหภาพผู้น่าสงสัย จิมมี ฮอฟฟา (ปาชิโน) ที่หายตัวไปอย่างลึกลับในปี 1975 แล้วยังไม่มีใครพบมาจนทุกวันนี้ เรื่องราวของหนังจะว่าด้วยการมองย้อนไปถึงการทำงานครั้งสำคัญๆ ของชีแรน เปสซีจะมารับบทรัสเซลล์ บัลฟาลิโน คนขี้โอ่จากเพ็นน์ซิลวาเนีย ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของฮอฟฟา ซึ่งเขาน่าจะต้องมีความสัมพันธ์กับตัวละครของเดอ นีโร แล้วคงต้องต่อปากต่อคำกันสุดๆ
การเล่าเรื่องของผู้ชายคนหนึ่งด้วยการย้อนกลับไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขา น่าจะเป็นสิ่งที่สกอร์เซซีทำได้ดี โดยเฉพาะในโหมดของความทุกข์ระทม แล้วอย่าหวังการตัดต่อที่วูบวาบหรือแช่กล้องนานๆ อย่างใน Goodfellas ขณะที่เหตุการณ์ในหนังก็น่าจะทำให้สกอร์เซซีต้องใช้บริการเทคนิคพิเศษทางดิจิตอลมาช่วยในเรื่องหน้าตาตามอายุของตัวละคร เพราะเดอ นีโร, ปาชิโน และเปสซี รวมถึงอีกหลายๆ คน ต้องขึ้นจอด้วยช่วงวัยที่แตกต่าง ตามอายุขัยของชีแรน ด้วยการทำเทคนิคพิเศษในแบบเดียวกับที่ไอแอลเอ็ม ทำให้กับหนัง Benjamin Button ก็หมายความว่า The Irishman จะกลายเป็นหนังทุนสร้างสูงที่สุดของสกอร์เซซี แทนที่ Hugo ด้วยงบราวๆ 140 ล้านเหรียญ และด้วยเงินจำนวนมหาศาลนี่เอง เน็ตฟลิกซ์ถึงก้าวเข้ามาหลังจากทางพาราเมาท์มองว่ามันมากเกินไป
ด้วยงบขนาดนี้ นักแสดงแบบนี้ นี่คืองานที่จะทำให้หน้าร้อนนี้เป็นหน้าร้อนที่ดี
THE RHYTHM SECTION: เบลค ไลฟ์ลี กำลังหาตังค์ให้กับหนัง 007
ผู้กำกับ: รีด โมราโน นักแสดง: เบลค ไลฟ์ลี, จูด ลอว์, สเตอร์ลิง เค. บราวน์
“ฉันอยากทำงานกับรีด โมราโนในหนังทุกเรื่องนับจากนี้ ไปตลอดชีวิตของฉัน” เบลค ไลฟ์ลีพูดถึงผู้กำกับหนังเรื่องล่าสุดของเธอ The Rhythm Section ซึ่งจะว่าไปแล้วมันไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจสักเท่าไหร่ เพราะโมราโนก็คือผู้กำกับที่ถูกจับตามองอย่างมากในยามนี้ หลังความสำเร็จที่เขามอบให้กับ The Handmaid’s Tale ยิ่งไปกว่านั้น หนังยังได้ผู้อำนวยการสร้างร่วมเป็น อีออน บริษัทที่อยู่เบื้องหลังของหนังเจมส์ บอนด์ ซึ่งทำให้หนังเรื่องนี้เหมือนจะเป็นหนังสายลับภาคต่อฉบับผู้หญิง
หนังสร้างจากนิยายชุดของมาร์ค เบอร์เนลล์ ที่ว่าด้วยชีวิตของ สเตฟานี แพทริก ที่ไลฟ์ลีรับบท เธอจะต้องสืบสวนเหตุการณ์ที่พ่อ-แม่จากไปด้วยเหตุเครื่องบินตก โดยไม่เชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุอย่างใครๆ คิดกัน งานนี้ไลฟ์ลีได้จูด ลอว์ มาร่วมแสดง ขณะที่ตัวละครของเธอก็เป็นพวก “นักฆ่า โสเภณี ติดยา และเป็นฮีโร” เธออธิบาย “ใช่… แล้วก็เป็นคนอังกฤษ ระวัง! ฉันอยากได้เสียงตอบรับนะ”
หนังไม่ได้ถ่ายทำกันด้วยความราบรื่น เมื่อมือของไลฟ์ลีได้รับบาดเจ็บในระหว่างถ่ายทำที่ดับลิน, ไอร์แลนด์ เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ทำให้ต้องพักกองถ่ายกันยาวมาจนถึงเดือนมิถุนายนนี้ “เราเล่นบทเสี่ยงตายด้วยตัวเองในฉากต่อสู้” เธอบอก “เราอยากให้มันเป็นโคตรของความดุเดือดเลือดพล่านจริงๆ ในฉากต่อสู้ตัวต่อตัว จากนั้นฉันก็รู้สึกได้อย่างรวดเร็วว่า ทำไมพวกเรานักแสดงหลายๆ คนถึงอัดกันไม่หนักสักเท่าไหร่ ก็เพราะเราไม่รู้จะทำยังไงนะซิ”
JOHN WICK CHAPTER 3: คีอานู กลับมาแล้ว!
ผู้กำกับ: แช็ด สตาเฮลสกี นักแสดง: คีอานู รีฟส์, ฮัลลี เบอร์รี, ลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์น, เอียน แม็คเชน
อยากรู้ใจจะขาดแล้วใช่ไหม ว่าหนนี้จอห์น วิคจะลุกขึ้นมาได้ยังไง? ผู้กำกับแช็ด สตาเฮลสกี มีส่วนผสมของสิ่งเหล่านั้นสำหรับหนังภาคที่สาม “ม้า, หมา, แมว, นกกาเหว่า, ฝูงนกพิราบ, ฉากมอเตอร์ไซค์ไล่ล่า, ฉากรถไล่ล่า, ฮัลลี เบอร์รี, ลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์น, เอียน แม็คเชน, แลนซ์ ริดดิค, ปืนลูกซอง และนินจา” ใช่ นี่ละเรื่องบ้าบอคอแตกอย่างที่หนังฮิตภาคต่อแบบเงียบๆ เรื่องนี้เป็น ซึ่งเนื้อหาจะเริ่มต้นต่อจากฉากจบแบบเจียนอยู่เจียนที่ภาคสองทิ้งเอาไว้
และในการหนีเอาตัวรอด ก็ต้องขอบคุณการที่มีค่าหัวในตอนนี้สูงถึง 14 ล้านเหรียญ ทำให้จอห์น วิค (คีอานู รีฟส์) ถูกบีบให้สู้ในแบบของเขาไปทั่วนิว ยอร์ค เผชิญหน้ากับพวกนักฆ่าเจนสงคราม และแน่นอน นินจา “หนังแต่ละเรื่องมีความแตกต่าง แต่มันก็อยู่ในโลกใบเดียวกัน” นักแสดงนำของเรื่องกล่าว โดยเสริมว่าหนังจะใช้ชื่อว่า John Wick 3: Parabellum เพื่ออ้างถึงวลีอมตะอันโด่งดัง ‘Si Vis Pacem, Para Bellum’ ซึ่งแปลว่า ‘ถ้าคุณต้องการสันติ จงเตรียมรับสงคราม’ วิคจะได้รับความช่วยเหลือจากพันธมิตรเก่าแก่อย่าง ฮัลลี เบอร์รี ทั้งคู่จะลุกขึ้นสู้กับอาชญากรคนสำคัญของสภาสูง แล้วก็ยังมีตัวร้ายอย่างฮิโรยูกิ ซานาดะ ที่ยังไม่รู้ว่าจะเข้ามามีส่วนร่วมกับเหตุการณ์นี้ยังไงอีกคน
HOBBS AND SHAW: Fast & Furious ในทิศทางใหม่
ผู้กำกับ: เดวิด ลีทช์ นักแสดง: ดเวย์น จอห์นสัน, เจสัน สเตทแฮม, ไอดริส เอลบา, วาเนสซา เคอร์บี, เอ็ดดี มาร์แซน
“มันเป็นเรื่องยากกับการทำหนังขนาดนี้” เดวิด ลีทช์ พูดขึ้นในเช้าวันหนึ่งก่อนที่จะลงมือถ่ายทำ Hobbs and Shaw ที่โรงถ่ายเชพเพอร์ตัน ในลอนดอน “มีความคาดหวังมากมาย คุณมีฉากแอ็คชันเพียบที่ต้องจัดการ มีเรื่องเป็นตันที่ต้องสางให้เรียบร้อย แล้วต้องมั่นใจด้วยว่า ไม่ทำอะไรที่เป็นการไม่เคารพหนังเรื่องก่อนๆ หนังเรื่องนี้มีเรื่องให้เล่าเยอะมาก แล้วก็ฉากแอ็คชัน… ฉากแอ็คชันที่กินเวลาเยอะมาก”
แต่น้ำเสียงของลีทช์ไม่ได้ฟังดูกระวนกระวายเลย เพราะเขารู้บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับการทำหนังแอ็คชันอย่างดี จากการกำกับหนังอย่าง John Wick ร่วมกับแช็ด สตาเฮลสกี, Atomic Blonde และ Deadpool 2 รวมไปถึงเริ่มต้นการทำงานด้วยการเป็นนักแสดงเสี่ยงตาย แล้วก็เป็นผู้ก่อตั้ง 87eleven บริษัทออกแบบฉากต่อสู้ร่วมกับสตาเฮลสกี งานกำกับชิ้นล่าสุดของเขาได้ชื่อว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำหรับหนังชุด Fast & Furious ซึ่งหนังทั้งหมดแปดเรื่องกลายเป็นหนังภาคต่อทำเงินมากที่สุดของยูนิเวอร์แซลไปแล้ว กับการที่ปล่อยให้ดอมของวิน ดีเซลและครอบครัวมีเวลาของตัวเอง หนังตอนแยกเรื่องนี้จะมาโฟกัสที่คู่หูผู้แตกต่างที่จำต้องจับคู่กัน อดีตเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของชาติ – ลูค ฮ็อบบ์ส (ดเวย์น จอห์นสัน) และคนแบบเดียวกันที่กลายมาเป็นทหารรับจ้าง – เด็คคาร์ด ชอว์ (เจสัน สเตทแฮม)
ในหนังสอง-สามเรื่องท้าย ทั้งคู่มีส่วนผสมทางเคมีที่เป็นปฏิปักษ์กัน และดูเหมือนว่าพวกเขาต่างลังเลที่จะมาร่วมทีมกัน “ผมไม่เก็ทพล็อตของตัวละครคู่นี้ แต่คิดว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น ที่ให้เราสานต่อไปได้ กลายเป็นการเดินทางที่น่าตื่นเต้นของสองตัวละครที่ผู้ชมรัก และมีความแตกต่างกันสุดขั้ว” ลีทช์บอก “ผมคิดถึงหนังคลาสสิกอย่าง Lethal Weapon หรือว่า 48 Hrs หรือหนังคู่หูตำรวจบางเรื่องจากยุค 80 และ 90 แล้วก็พลังที่หล่อเลี้ยงหนังภาคต่อต้นฉบับ เราจะจับเรื่องราวตรงนั้นแล้วก็แผ่โลกของมันแผ่ออกไป เราจะได้เรียนรู้อะไรที่เกี่ยวกับฮ็อบบ์สมากขึ้น ทั้งอดีต ความสัมพันธ์ และครอบครัว แล้วเราก็จะได้เรียนรู้มากขี้นด้วยในเรื่องของชอว์ และโลกของเขา”
และครอบครัวของชอว์ ที่ขยายออกไปก็จะรวมไปถึง ตัวละครของวาเนสซา เคอร์บี (จาก Mission: Impossible – Fallout และ The Crown) ที่มาเล่นเป็น แฮตตี น้องสาวของชอว์ เจ้าหน้าที่ของเอ็มไอ 16 “พูดง่ายๆ เลยนะ เธอนำเอาตัวละครที่แสบที่สุดมาให้หนังชุดนี้” ลีทช์ บอก คนหน้าใหม่ของหนังชุดนี้ยังมีไอดริส เอลบา ที่รับบทบริกซ์ตัน ตัวร้ายของเรื่อง “ผมต้องออกกำลังมากขึ้นอีกหน่อย” เอลบาเอ่ยขึ้น การได้เขามาร่วมงานกับจอห์นสันและสเตทแฮม ทำให้ลีทช์สัมผัสได้ว่า มี “ความสัมพันธ์ในทางบวก” ระหว่างกลุ่มนักแสดงหนุ่มๆ ของหนัง
ไอดริส เป็นตัวเสริมที่มหัศจรรย์มากสำหรับทีมนักแสดงของหนัง” ผู้กำกับกล่าวต่อ “ไม่ใช่แค่ในเรื่องของร่างกาย ซึ่งพอฟัดพอเหวี่ยงกับฮ็อบบ์สและชอว์ มันเหมือนกับคุณจะหานักแสดงที่สามารถทำแบบนั้นได้จากไหน? แล้วต่อจากนั้น ด้วยสไตล์การแสดงของเขา ก็ช่วยให้คุณได้ตัวละครที่ต้องการ ตัวร้ายที่ทรงคุณค่าในโลกของหนังเรื่องนี้” หนังได้มือเขียนบทขาประจำของหนัง – คริส มอร์แกน ที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ภาคที่สาม มาทำหน้าที่เดิม ส่วนเรื่องราวก็จะเริ่มต้นหลังจากหนัง Fast & Furious 8 แล้วก็แชร์ดีเอ็นเอเดียวกันกับหนังเรื่องก่อนๆ ในขณะที่สร้างรอยยางไหม้เป็นทางยาวของตัวเองไปพร้อมๆ กัน
“เราต้องแน่ใจว่า เราสามารถทำหนังที่อยู่ในกลุ่มของหนัง Fast & Furious ได้สบายๆ แต่ก็มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง” ลีทช์ กล่าว “และผมคิดว่า เราอยู่ในเส้นทางที่จะเป็นแบบนั้น รถถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในโลกของ Fast & Furious เพราะฉะนั้นเราต้องเล่นอะไรกับรถและฉากแอ็คชันของพาหนะต่างๆ แต่คนของเราไม่ใช่แค่นักซิ่งบนถนน พวกเขามาจากโลกของสายลับ และเรากำลังจะสร้างโลกของพวกเขา ด้วยเหตุนี้เราเลยสามารถสร้างความหลากหลายให้ฉากแอ็คชัน และสนุกกับมันในทิศทางที่แตกต่างไปจากเดิมได้”
THE KITCHEN: แก๊งใหม่ในเมือง
ผู้กำกับ: แอนเดรีย เบอร์ลอฟฟ์ นักแสดง: เมลิสสา แม็คคาร์ธี, ทิฟฟานี แฮดดิด, เอลิซาเบ็ธ มอสส์
“ฉันรู้ ฉันน่าจะพูดอะไรทำนอง… ‘ฉันรู้สึกกลัว’ หรือ ‘ฉันเหมือนถูกครอบงำ’ หรือ ‘ฉันโกรธตัวเอง” แต่มันก็… มันก็สนุกโคตรๆ เลย” แอนเดรีย เบอร์ลอฟฟ์ พูดถึงการทำงานในฐานะผู้กำกับเป็นครั้งแรก หลังใช้ชีวิตการทำงานมากกว่าทศวรรษไปกับการเขียนบทให้กับหนังอย่าง World Trade Center, Straight Outta Compton และหนังระทึกขวัญของเจมี ฟ็อกซ์ซ์ Sleepless
หนังดัดแปลงมาจากนิยายภาพของออลลี มาสเตอร์ส และมิง ดอยล์ แต่ไม่ใช่หนังมาเฟียอย่างที่คุณรู้จัก “เราทุกคนรู้ดีว่าหนังมาเฟียมันเป็นยังไง” เบอร์ลอฟฟ์ กล่าว “แต่การได้เห็นหนังแนวนี้ที่เป็นมุมมองของผู้หญิง ที่ไม่ใช่หนังเบาสมอง หรือหนังตลก แต่เป็นเรื่องที่ติดดิน จริงจัง ทำให้รู้สึกว่าเป็นงานที่น่าสนใจ และสดใหม่ในแนวทางของมัน ฉันตกหลุมรักทุกอย่างของหนังเรื่องนี้”
เช่นเดียวกับนิยายภาพ The Kitchen เริ่มต้นด้วยตอนกลางยุค 70 แก๊งมาเฟียไอริชครึ่งหนึ่งในนิว ยอร์ค ถูกจับส่งซังเต ปล่อยให้ภรรยาของพวกเขาสานต่อธุรกิจ เมลิสสา แม็คคาร์ธีย์, ทิฟฟานี แฮดดิช และเอลิซาเบ็ธ มอสส์ กลายเป็นผู้นำแก๊ง ในแบบที่แม็คคาร์ธีย์เดินจากกองถ่าย Can You Ever Forgive Me? มาเข้ากล้องหนังเรื่องนี้ต่อทันที ขณะที่มอสส์ นี่คือหนังอาชญากรรมเรื่องแรกของเธอ ส่วนแฮดดิชจาก Girl Trip นี่คืองานดรามาครั้งแรก “คุณไม่มีทางรู้เลยว่า เธอมีศักยภาพอะไรบ้าง?” เบอร์ลอฟฟ์ ชมนักแสดงของตัวเอง ซึ่งทำให้ตัวละครในหนัง มีความเป็นตัวของตัวเองเช่นเดียวกับที่เรื่องราวเป็น
“ไม่มีตัวละครแอฟริกัน-อเมริกันในนิยาย” เบอร์ลอฟฟ์ กล่าว “แต่การมาจากหนัง Straight Outta Compton ฉันมีความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่า ไม่อยากเขียนบทหนังเกี่ยวตัวละครหญิงผิวขาวสามคน ฉันพยายามหยุดดูหนังแก๊งสเตอร์เรื่องดังๆ ทั้งหลาย ทันทีที่เริ่มเขียนบท ฉันอยากทำอะไรที่เป็นของฉันเอง เรายอมรับว่าพวกผู้ชายก็เล่นบทนี้ บทบาทของพวกอันธพาลได้ มันเป็นเรื่องที่ดี สำหรับการมีตัวละครชายในแบบแอนตีฮีโร แต่ฉันคิดว่ามันก็น่าสนใจดีถ้าได้เห็นผู้หญิงมีโอกาสในแบบเดียวกัน”
X-MEN: DARK PHOENIX: ตำนานจากหนังสือการ์ตูน จะฟื้นขึ้นมาจากเถ้าถ่าน
ผู้กำกับ: ไซมอน คินเบิร์ก นักแสดง: โซพี เทอร์เนอร์, ไมเคิล ฟาสส์เบนเดอร์, เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์, เจสสิกา แชสเทน
จากเรื่องราวที่แฟนๆ ชื่นชอบ Dark Phoenix จะพาหนังชุด X-Men ไปสู่โลกที่ไม่คุ้นเคย “สิ่งที่หนังเรื่องนี้ทำให้ผมตื่นเต้นมากที่สุดก็คือ การผสมผสานเรื่องของจักรวาล ดวงดาวต่างๆ เข้ากับความเป็นดรามาที่มีพื้นฐานอยู่บนเรื่องอารมณ์ความรู้สึก” ไซมอน คินเบิร์ก ผู้เขียนบทและผู้อำนวยการสร้าง ที่กลายเป็นผู้กำกับครั้งแรก กล่าว “เราถ่ายทอดสิ่งต่างๆ ในแบบที่แตกต่างไปจากที่หนังชุดนี้เคยนำเสนอ และหวังด้วยว่าจะแตกต่างไปจากที่หนังเรื่องอื่นๆ เคยทำมา”
เหมือนเป็นการคุยโว แต่ Dark Phoenix เป็นหนังเรื่องสำคัญอย่างที่คินเบิร์กว่าเอาไว้ ในแบบของเขาจริงๆ หนังจะหม่นพอๆ กับหนังเรื่องสุดท้ายของวูล์ฟเวอรีน – Logan “Logan เป็นหนังเรท อาร์ ที่เต็มไปด้วยคำสบถและภาพที่รุนแรงกว่าหนังในชุดที่เราเคยทำ แต่ความรุนแรงในหนังเรื่องนี้ จะสุดขั้วยิ่งกว่าหนัง X-Men เรื่องไหนๆ และมีผลสืบเนื่องจากฉากแอ็คชันจริงๆ ซึ่งหมายความว่าจะมีคนที่ต้องตายในหนังเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่การจากไปของใครก็ไม่รู้ แต่เป็นคนที่คนดูห่วงและรัก”
เรื่องราวจะต่อเนื่องจาก X-Men: Apocalypse ในปี 2016 ที่เป็นการแนะนำตัว ดร. จีน เกรย์ มนุษย์กลายพันธุ์ที่มีพลังจิตในการเคลื่อนย้ายสสาร ที่รับบทโดยโซฟี เทอร์เนอร์จาก Game of Thrones และเป็นโอกาสอันดีของคินเบิร์กในการสร้างความฝันในวัยเด็กให้กลายเป็นจริง “เรื่องราวของ The Dark Phoenix เป็นการ์ตูน X-Men ตอนโปรดของผม” เขาบอก โดยพูดถึงหนังสือการ์ตูนในปี 1980 ที่เขียนเรื่องโดย คริส แคลร์มอนท์ ซึ่งเผยให้เห็นพลังแห่งจักรวาลที่อยู่ในตัวของเกรย์ และยึดครองตัวตนของเธอเอาไว้
สำหรับคินเบิร์ก ที่นับ Dark Phoenix เป็นหนัง X-Men เรื่องที่สี่ที่เขาเขียนบท หนังเรื่องนี้ยังเป็นโอกาสอันดีที่จะจัดการเรื่องราวจากหนัง X-Men: The Last Stand หนังเรื่องแรกที่เขาเขียนบทเมื่อปี 2006 ให้ถูกต้อง โดยในตอนนั้นแฟมเก แยนส์เซนก็คือคนที่รับบทจีน เกรย์ “มีหลายอย่างในหนังเรื่องนั้นที่ผมชอบ แต่ที่ผมรู้สึกผิดก็คือ เราไม่ได้เล่าเรื่องของฟีนิกซ์ออกมาอย่างซื่อสัตย์” เขาเผย “เรื่องราวของฟีนิกซ์จริงๆ แล้วเป็นเรื่องรองของหนังด้วยซ้ำ”
หนนี้ตัวละครจีนเกรย์จะเป็นทั้งหน้าตาและศูนย์กลางของหนัง “หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับ เมื่อใครสักคนในครอบครัวของคุณเริ่มสูญเสียการควบคุม ซึ่งนั่นคือแก่นของเรื่อง คุณจะทำอะไร เมื่อมันก่อให้เกิดการทำลายล้าง?” คินเบิร์ก เล่าด้วยว่าเขานั่งลงคุยกับเทอร์เนอร์ตั้งแต่ก่อนจะเขียนบท “ผมอยากให้ความรู้สึกถึงพลังจักรวาลในตัวจองจีน และตัวตนของฟีนิกซ์ ให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นอาการป่วยทางจิตเภท”
นอกจากจะมีไมเคิล ฟาสส์เบนเดอร์, เจมส์ แม็คอะวอย, เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์, ไท เชอริแดน และนิโคลาส โฮลท์ กลับมาแล้ว คิินเบิร์กยังเพิ่มตัวละครสำคัญของเจสสิกา แชสเทนเข้ามาอีกคน โดยที่บทของเธอนั้นยังคงอุบเงียบเอาไว้ แต่แฟนๆ บางคนบอกว่า เธอน่าจะเป็นจอมบงการจากจักรวาล “สิ่งที่ผมพอจะพูดถึงตัวละครของเจสสิกาได้ก็คือ เธอเป็นบางอย่างที่เราไม่เคยทำมาก่อนในหนัง X-Men” คินเบิร์กย้ำ “เธอเป็นพวกเอเลียน”
นี่คือองค์ประกอบที่มาสร้างความสดให้กับหนังชุดนี้ จับบรรดาเอ็กซ์-เม็นที่เคยอยู่แต่บนโลก ไปเจอกับพวกสิ่งมีชีวิตต่างดาว “ผมคิดว่า ธีมของหนังมันจะเป็นผู้ใหญ่มากกว่าหนังเรื่องอื่นๆ ที่เราทำกัน” คินเบิร์กเสริม เขายังดึงเอาลี สมิธ มือตัดต่อของคริสโตเฟอร์ โนแลน และฮานส์ ซิมเมอร์ มือทำดนตรีประกอบ มายกระดับหนังเรื่องนี้ “ความชัดเจนระหว่างความดีกับความเลวจะพร่าเลือนในหนังเรื่องนี้ ผมคิดว่า นั่นคือความแตกต่างที่สำคัญ”
THE NEW MUTANTS: ในที่สุดเผ่าพันธุ์ใหม่ของเอ็กซ์-เม็นก็ปรากฏตัวขึ้น
ผู้กำกับ: จอช บูน นักแสดง: แอนยา เทย์เลอร์-จอย, ไมซี วิลเลียมส์, ชาร์ลี ฮีตัน, เฮนรี ซากา, บลู ฮันท์
“ความล่าช้าเป็นเรื่องน่าผิดหวัง” แอนยา เทย์เลอร์-จอย ที่คุ้นหน้าคุ้นตาดีจาก The Witchกล่าว “จริงๆ มันโคตรน่าผิดหวัง” ซึ่งทุกคนคงทำอะไรมากไม่ได้นอกจากแสดงความเห็นใจ และเป็นความล่าช้าที่แสนเนิ่นนาน หลังตัวอย่างสุดขีดคลั่ง ที่น่าพรั่นพรึงจนกลายเป็นที่กล่าวขวัญถึงถูกปล่อยออกมา เมื่อราวหนึ่งปีก่อน เอาเข้าจริงๆ แล้ว The New Mutants ถ่ายเสร็จเรียบร้อยไปตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงปี 2017 แต่ใช้เวลาทำงานในขั้นตอนหลังการถ่ายทำกว่า 16 เดือน ไปจนคนลืม เพราะอะไร? มีข่าวว่าทางฟ็อกซ์ขอให้มีการถ่ายทำฉากใหญ่ๆ หลายๆ ฉากขึ้นใหม่ ขอให้ผู้กำกับจอช บูนจัดการถ่ายฉากที่ถ่ายไปแล้วใหม่มากกว่าครึ่งหนึ่ง
และข่าวดีล่ะ? การถ่ายใหม่เหล่านั้นเกิดขึ้นหลังจากรอบฉายทดสอบ ที่ได้รับการตอบรับในเชิงบวกแบบท่วมท้น และฟ็อกซ์อยากให้หนังเคร่งเครียดมากขึ้น และน่ากลัวกว่าเดิม ซึ่งดูแล้วเป็นเรื่องดีเพียงอย่างเดียวที่เกิดขึ้น ในหนังที่บรรดามนุษย์กลายพันธุ์ที่อยู่ในการอนุบาล อย่าง เทย์เลอร์-จอย, ไมซี วิลเลียมส์, ชาร์ลี ฮีตัน, เฮนรี ซากา และบลู ฮันท์ พยายามปลดปล่อยตัวเองออกจากสถานจองจำ บูนไม่ยอมพูดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นและเนื้อหาของหนัง แต่เขาก็ปล่อยตัวอย่างแรกออกมาได้อย่างเหมาะสม ในแบบที่มาพร้อมกับอารมณ์สนุกสนานและหม่นมืดในแบบหนัง A Nightmare on Elm Street 3 ซึ่งน่าจะทำให้แฟนๆ พร้อมเข้าไปเผชิญการคุกคามเมื่อบรรดามนุษย์กลายพันธุ์หน้าใหม่เหล่านี้ หลุดจากที่คุมขัง
“แต่การทำให้มันออกมาอย่างเหมาะสม เป็นเรื่องสำคัญมากกว่ารีบๆ ทำออกมาให้ทันตามกำหนดฉาย” เทย์เลอร์-จอย เสริม และนั่นก็ทำให้หลายๆ คนพร้อมจะรอคอย
TERMINATOR: DARK FATE: ไซบอร์กสังหาร กำลังจะกลับมา
ผู้กำกับ: ทิม มิลเลอร์ นักแสดง: แม็คเคนซี เดวิส, ลินดา แฮมิลตัน, อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์, แกเบรียล ลูนา, นาตาลี เรเยส, ดีเอโก โบเนตา
เขาชอบพูดว่าเขาจะกลับมาเสมอๆ จนหลังจากท่าทางที่ดูน่าเบื่อใน Terminator: Genisys คุณอาจจะลืมไป เพราะคิดว่าได้เห็นหุ่นยนต์ผู้ไม่มีวันถูกทำลายในหนังเรื่องโปรดเป็นครั้งสุดท้ายไปแล้ว อย่าทำให้หุ่นยนต์ผู้มาดีต้องผิดหวัง และการได้ผู้สร้างสรรค์มันขึ้นมา เจมส์ คาเมรอน กลับมานั่งเก้าอี้ผู้อำนวยการสร้าง แถมยังตัดสินใจว่า หนังเรื่องที่หกในชุดจะละเลยทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากหนัง Terminator 2: Judgement Day
“เราจะแสร้งทำเป็นว่า หนังเรื่องอื่นๆ เป็นแค่ฝันร้าย” คาเมรอนพูดติดตลกถึงหนังเรื่องนี้ไว้เมื่อปีที่แล้ว พร้อมกับเสริมด้วยว่าหนังเรื่องใหม่ จะ “กลับมาเข้ารูปเข้ารอยที่ผมเชื่อว่าแฟนๆ ของหนังชุดนี้อยากให้เป็น” แน่นอนว่าอาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์จะกลับมา แต่ไม่ใช่แค่รับบทหุ่น ที-800 เมื่อมีข่าวลือตามมาว่า จะเล่นเป็นมนุษย์ที่เป็นต้นแบบให้ไซบอร์กอีกด้วย หากนั่นไม่ใช่การกลับมาครั้งสำคัญ เพราะหนนี้หนังจะได้ลินดา แฮมิลตัน มารับบทในตำนานซาราห์ คอนเนอร์ ที่ดูเหมือนจะเป็นการปรากฏตัวเพื่ออำลาแฟนๆ นอกจากนี้ยังมีข่าวลือ (อีกแล้ว) ว่า จอห์น คอนเนอร์ในวัยหนุ่มก็จะกลับมา แต่เป็นใบหน้าของเอ็ดเวิร์ด เฟอร์ลองซีจีบนตัวนักแสดงแทน เพื่อการเชื่อมเรื่องราวเข้าด้วยกัน
ไม่ใช่แค่จัดเต็มด้วยความทรงจำดีๆ เท่านั้น คาเมรอนยังหวังว่าจะ “สร้างหนังชุดนี้ขึ้นใหม่สำหรับศตวรรษที่ 21” คนยุคใหม่ที่เป็นนักสู้เพื่ออิสรภาพจะถูกเติมเข้ามาในเรื่อง นำโดยนักแสดงชาวโคลัมเบีย – นาตาลี เรเยส ที่รับบทเป็นหญิงสาวจากเม็กซิโก ซิตี ที่ต้องเจอความขัดแย้งระหว่างคนกับเครื่องจักร บทที่เขียนโดย เดวิด เอส. โกเยอร์ ยังแนะนำตัวละครของ แม็คเคนซี เดวิส (จาก Tully) ซึ่งตัวละครเกรซของเธอ อาจจะเป็นตัวละครในแบบไคล รีส เจ้าหน้าที่จากโลกอนาคต ที่มีการอัพเกรดอุปกรณ์ต่างๆ มากขึ้น
แล้วก็มีหุ่นสังหารตัวใหม่ ที่เล่นโดยแกเบรียล ลูนา จากซีรีส์ Agents of S.H.I.E.L.D. และผู้กำกับคนใหม่จาก Deadpool ทิม มิลเลอร์ “ฉันคิดว่ามันเป็นส่วนเสริมพิเศษสำหรับหนังภาคต่อที่เดินหน้ามายาวนาน และสมควรมีเรื่องราวอีกบทหนึ่ง” เดวิส กล่าว พร้อมกับย้ำว่า มันจะไม่ใช่ “แค่หนังความยาวสองชั่วโมงครึ่ง ที่มีแต่ฉากแอ็คชันกับเสียงโลหะกระทบกัน”
ROCKETMAN: เราจะจับจระเข้มาเต้นรำบนเก้าอี้ในโรงภาพยนตร์
ผู้กำกับ: เด็กซ์เตอร์ เฟล็ทเชอร์ นักแสดง: ทารอน เอเจอร์ตัน, ไบรซ์ ดัลลาส โฮเวิร์ด, เจมี เบลล์, ริชาร์ด แมดเด็น, เจมมา โจนส์
“ทุกคนคิดว่ามันเป็นหนังอัตชีวประวัติ” ทารอน เอเจอร์ตัน พูดถึง Rocketman “มันไม่ใช่ มันเป็นหนังเพลงแฟนตาซี” ซึ่งก็เข้าท่าดีกับหนังที่ว่าด้วยความรุ่งโรจน์ (และโรจน์รุ่ง) ของเอลตัน จอห์น ชายช่างแต่งตัวเจ้าของการเดินทางอันเผ็ดร้อน, ท่วงทำนองที่ตรึงใจ และการแสดงอันเวอร์วัง ที่ทำให้เขาสามารถขายงานได้มากกว่า 300 ล้านก็อปปี และเล่นคอนเสิร์ตทั่วโลกกว่า 4,000 รอบ
จากบทของลี ฮอลล์ ผู้เขียนบท Billy Elliot หนังจะตามติดความฮือฮา, วัฏจักรชีวิตของเอลตัน จอห์น ตั้งแต่สมัยเรียนในสถาบันดนตรีไปจนถึงความสำเร็จบนชาร์ทเพลง โดยมีตัวละครสำคัญๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง อย่าง เบอร์นี ทอพิน (เจมี เบลล์) นักแต่งเพลงคู่บารมี, ผู้จัดการ จอห์น รีด (ริชาร์ด แมดเด็น) และชีลา ไอลีน (ไบรซ์ ดัลลาส โฮเวิร์ด) ผู้เป็นแม่
“เรามีเพลงและชีวิตของเอลตัน” เด็กซ์เตอร์ เฟล็ทเชอร์ ผู้กำกับกล่าว “มันเป็นเรื่องเล่าชีวิตจริงในแบบแฟนตาซี และโคตรแฟนตาซี”
ซึ่งทุกอย่างก็นำเสนอออกมาชัดแจ้งแดงแจ๋ตั้งแต่ตัวอย่างที่ทำออกมาได้อย่างหวือหวา ด้วย เครื่องแต่งองค์ระยิบระยับสารพัดรูปแบบที่น่าแปลกตาที่เอเกอร์ตันสวมใส่ เพลงนำเรื่องราวก็มาพร้อมกับภาพเขาลอยละล่องจากเก้าอี้ขณะที่กำลังพรมคีย์เปียโน สำหรับเอเจอร์ตัน นี่คือบทในฝัน เพราะท้ายที่สุดแล้วหนุ่มเวลช์วัย 29 ปีรายนี้ก็ได้เล่นหนังเพลงอย่างที่ต้องการสักที หลังจากได้แค่ร้องเพลง “Stay With Me” ของแซม สมิธ ในแอนิเมชัน เรื่อง Sing
Rocketman ยังเป็นโอกาสอันดีสำหรับเฟล็ทเชอร์ ในล้างปัญหาคาใจหลังจากที่ต้องไปรับงานหนัง Bohemian Rhapsody ต่อจากไบรอัน ซิงเกอร์ ที่ถูกไล่ออก โดยหนังไม่มีชื่อของเขาปรากฏในเครดิท แต่กับ Rocketman มันต้องมี และเขาก็พร้อมจะให้วิสัยทัศน์สุดพิเศษกับหนัง โดยวางภารกิจในครั้งนี้ให้เป็นการ “สร้างสรรค์บางสิ่งที่เต็มไปด้วยความบันเทิง และบอกเล่าเรื่องราว ได้อย่างน่าตื่นตา” ที่สำคัญที่สุด หนังได้เชียร์ลีดเดอร์คนสำคัญชื่อเอลตัน จอห์น ที่บอกกับแฟนๆ ด้วยตัวเองเลยว่า “จับแว่นของคุณให้มั่น นี่คือการเดินทางสุดขีดคลั่ง!” สมเป็นคำพูดของมนุษย์จรวดตัวจริง เสียงจริง
(ยังมีต่อ)
โดย ฉัตรเกล้า เรื่อง ดูหนังทั้งปี 2019 (3) นิตยสารเอนเตอร์เทน ฉบับที่ 1274 ปักษ์หลังกุมภาพันธ์ 2562