
กรุ่นกลิ่นโปรยลมฝน/ ดวงดาวเดียวดาย
(ใบชาซอง)
อีกหนึ่งศิลปินที่การเติบโตไม่ต่างไปจากหินก้อนเล็ก ๆ ที่ถูกโยนลงน้ำ แล้วก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมที่มากพอจะค่อย ๆ ขยับขยายแผ่ออกไปในวงกว้าง และด้วยการทำงานที่มีความชัดเจนในตัวเอง ทั้งเรื่องราวที่นำเสนอ ทั้งแนวทางดนตรี ที่เนื้อหาเรียบง่ายถูกเล่าด้วยภาษาที่มีลักษณะเฉพาะตัว มุมมองแปลก ๆ ที่หยิบถูกขับเคลื่อนด้วยดนตรีโฟล์กฟังสบาย ๆ เสียงร้องที่ฟังจริงใจ ที่พอบวกลูกเล่นจากชื่อเพลงยาว ๆ เตะตาเมื่อได้เห็น และทุบหู หากมีใครมาบอกชื่อเพลงเต็ม ๆ ให้ได้ยิน นอกเหนือไปจากการพูดถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ใกล้ตัว ไม่ไกลมือ
ไม่ว่าจะเป็น “แก่จนป่านนี้คงเป็นไอ้ต้าวต่อไปวอนขอเพียงเธอแค่หางตา”, “ฉันมองเธอเดินร้องไห้กลับมาพร้อมถุงน้ำอัดลมในมือที่กำลังละลายไปต่อหน้าต่อตา”, “จึงอยากกอดเธอให้นานที่สุดอยู่กับเธอให้นานที่สุดมีชีวิตร่วมกันกับเธอก่อนการจากลา”, “ กระจกรถไม่กี่มิลกั้นหลายสิ่งในชั่วข้ามคืนให้แตกเป็นอารมณ์แตกเป็นล้านความรู้สึกคิดถึง”, กลับมาอีกครั้งได้ไหมพระจันทร์ กลับมาอีกครั้งได้ไหมพระอาทิตย์ กลับมาอีกครั้งได้ไหมเธอ หรือที่พีก ๆ อย่าง “รัจานาคราสขยววาทีเอกหพุครืาวยงลบย่เพแกำก้่ตยบะออบงเเกกกเึรายงยบนาท้เยยวงบนสมนตกรักกับ” ที่ยากจะอ่านเป็นภาษา หรือว่าบอกให้ใครรู้เรื่อง
ก็ส่งให้ดวงดาว เดียวดาย หรือ กอล์ฟ – ประพันธ์ สุนทรฐิติ เป็นศิลปินเล็ก ๆ เจ้าของผลงานใหญ่ ๆ ที่มีแฟนเพลงให้ความสนใจ และติดตามมากมาย กลายเป็นหนึ่งในศิลปินประจำเทศกาลดนตรีใหญ่ ๆ ในบ้านเรา รวมทั้งมีงานแสดงในที่ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับผลงาน ที่หากคลิกดูในบริการสตรีมิง อย่าง แอปเปิล มิวสิก จะพบว่ามีอัลบัมของดวงดาว เดียวดาย ให้ได้ฟังถึง 5 ชุด ‘Simply Life’ กับ ‘Duang Dai Diaw Dai’ ทั้ง 2 ชุดจากปี 2016, ‘The Story’ (2019) อัลบัมที่ชื่อเพลงเป็นภาษาอังกฤษล้วน ที่การเรียงร้อยให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นงานคอนเซ็ปต์อัลบัม, ‘กลับมาได้ไหม กลับมาอีกครั้งในวงโคจรเรา’ และ ‘The Idea List of Duang Dao Diaw Dai’ ที่ออกในปี 2020 ซึ่งงานชุดหลังเหมือนกับเป็นงานรวมเพลงของดวงดาว เดียวดายก็ว่าได้ และงานแสดงสด ‘Live Session at Home – เล่นในบ้าน’ ที่ออกมาเมื่อปี 2018 อีก 1 ชุด
โดยยังมีอีพีออกมา 2 ชุด รวมถึงซิงเกิลอีกไม่น้อย
ทั้งหมดล้วนเป็นงานโฟล์กนวล ๆ ฟังสบาย หากก็อบอวลไปด้วยเสน่ห์ โดยที่แต่ละอัลบัม แต่ละเพลงก็มีลูกเล่น มีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม หากก็สามารถบ่งบอกถึงความคิดสร้างสรรค์ของเจ้าของเพลงได้ชัดเจน
อย่าง ‘The Story’ ที่ซาวนด์ของเพลงฟังแตกต่างจากอัลบัมชุดอื่น ๆ, เพลงสนุก ๆ แบบงานเล่นสดรอบกองไฟ “แก่จนป่านนี้คงเป็นไอ้ต้าวต่อไปวอนขอเพียงเธอแค่หางตา”, การผสมผสานเครื่องดนตรีและท่วงทำนองพื้นบ้านเข้ามาในงาน “รู้สึกเหลือเกินว่าตัวเองกึดเติงหาคนงามใจดีผิวขาวตาวาวเท่ากับคิดถึงดอยสุเทพ”
ทำให้ดนตรีโฟล์กของดวงดาว เดียวดาย มีมิติ มีความเคลื่อนไหว แน่ละอาจจะรู้สึกเนิบนาบไปบ้าง เมื่อตัวงานไม่ได้รุกเร้าหรือเอะอะมะเทิ่ง แต่กับการละเลียดฟัง เก็บเกี่ยวเนื้อหา เรื่องราว ที่มีทั้งพาอารมณ์จมไปกับเพลง ที่ฟังเหงา เศร้า หรือล่องลอยไปกับความฟุ้งฝันในแบบงานโรแมนซ์ ซึ่งไม่ว่าจะดิ่งจมหรือล่องลอย ความเป็นไปในเพลงของดวงดาว เดียวดาย กลับจับต้องเป็นภาพได้เสมอ รวมถึงความสวยงามของภาษา
การเดินทางครั้งล่าสุดในอัลบัม ‘กรุ่นกลิ่นโปรยลมฝน’ ดวงดาว เดียวดาว กำลังพาคนฟังไปพบกับอีกมิติหนึ่งในการทำงาน เมื่อเลือกที่จะทำเพลงที่ใช้วงดนตรีเต็มวง เป็นวงไฟฟ้า และไม่ได้เล่นแค่ดนตรีโฟล์ก ที่หากจะเปรียบให้เห็นภาพ ก็คงเหมือน ๆ ตอนที่ บ็อบ ดีแลน (Bob Dylan) หันมาเล่นเครื่องดนตรีไฟฟ้า ในอัลบัม ‘Bringing It All Back Home’ เมื่อปี 1965 หรือบ้านเราก็คงเป็นคาราวาน กับอัลบัม 1985 ที่ออกในปีเดียวกับชื่ออัลบัม
โดยมีบรรณ สุวรรณโณชิน เป็นผู้ดูแลการผลิต
เพียงแค่เสียงแรกของอัลบัม จากเพลง “ติดอกติดใจ” ดังขึ้น ความตั้งใจของดวงดาว เดียวดายก็ทำงาน เมื่อตัวเพลงนอกจากจะเต็มไปด้วยความรุ่มรวยของสรรพเสียงดนตรี ยังมีหลากหลายรายละเอียดดนตรี ฟังฟังกี้ ติดกลิ่นฟิวชั่นนวล ๆ รวมถึงการร่ายในแบบแร็ป ที่ไม่ใช่แค่ฟังจัดจ้าน ยังแสดงให้เห็นอีกด้านของเจ้าตัวได้อย่างชัดเจน
และยิ่งเห็นได้ชัดมากยิ่งขึ้นในเพลงต่อมา “ขอเพียงสักครั้ง” ที่เป็นการนำ “ขอเพียงสักครั้งได้ช่วยเธอขอเพียงใกล้เธออีกสักครั้ง” มาเรียบเรียงใหม่ ทำเป็นเพลงป็อปสวย ๆ ที่เหมาะเหลือเกินสำหรับใช้เล่นรับ-ส่งกับคนดูในการแสดงสด ขณะที่เสียงเปียโนที่พลิ้วไหวอยู่ข้างหลัง กับเสียงกีตาร์คม ๆ และจังหวะจะโคน ก็ทำให้คำ “ขอเพียงสักครั้ง” ฟังหนักแน่นมากยิิ่งขึ้น
เพลงนี้ไม่ใช่เพลงเก่าเพลงเดียวที่ดวงดาว เดียวดายหยิบมาเล่าอีกครั้ง ยังมี “กรุ่นกลิ่นโปรยลมฝน” เพลงที่ใช้เป็นชื่อชุด ที่ชื่อเดิมคือ “กรุ่นกลิ่นโปรยลมฝนสาดส่งใส่ความเหงาหอบรักที่ว่างเปล่ามีเพียงแต่เราที่เฉาไป”, “ถุงน้ำอัดลม” ที่ตัดสั้นจาก “ฉันมองเธอเดินร้องไห้กลับมาพร้อมถุงน้ำอัดลมในมือที่กำลังละลายไปต่อหน้าต่อตา”, “ไอ้ต้าว” หรือ “แก่จนป่านนี้คงเป็นไอ้ต้าวต่อไปวอนขอเพียงเธอแค่หางตา”, “สุมาเต๊อะ” ซึ่งชื่อก่อนหน้านี้คือ “สุมาเต๊อะนะน้องเปิ้นอยากจะฮ้องเพลงกล่อมเสียงละลายอารมณ์หรือเปล่า”, “จึงอยากกอดเธอให้นานที่สุด” ที่ทอนมาจาก “จึงอยากกอดเธอให้นานที่สุดอยู่กับเธอให้นานที่สุดมีชีวิตร่วมกันกับเธอก่อนการจากลา” ซึ่งทุกเพลงล้วนมีชีวิตที่ฉูดฉาดกว่าที่เคยเป็น ในแง่ของอารมณ์ดิบ ๆ ติดดิน อาจจะไม่ใช่ และคงเป็นความผิดหวัง หากความชอบพอยังเกาะติดกับสิ่งที่เคยได้ยิน ทั้ง ๆ ที่ในชุดทรงองค์เครื่องใหม่ ก็มาพร้อมกับมิติอารมณ์ใหม่ ๆ ที่น่าลิ้มลองไม่น้อย
จาก “ฉันมองเธอเดินร้องไห้กลับมาพร้อมถุงน้ำอัดลมในมือที่กำลังละลายไปต่อหน้าต่อตา” กลายเป็นความโฉบเฉี่ยว ฟังเปรี้ยวกว่าเดิมด้วยดนตรีในทางของโซล เมื่อเป็น “ถุงน้ำอัดลม” ที่แม้น้ำแข็งจะละลายในเพลง แต่ความรื่นรมย์ไม่หายไปไหน แถมยังเพิ่มมากขึ้นทั้งจากเพอร์คัสชัน และเสียงเครื่องเป่า
“แก่จนป่านนี้คงเป็นไอ้ต้าวต่อไปวอนขอเพียงเธอแค่หางตา” ในฉบับ “ไอ้ต้าว” ก็ครบเครื่อง ฟังใหญ่มากกว่าเดิม สัมผัสถึงเธอที่ “คือนางฟ้า อยู่บนนภา เพียงก้าวลงมา มาให้ถูกรักใช่ไหม” ได้จริง ๆ
หากที่อิ่มอารมณ์ สุดทางความรู้สึก ก็คือ “จึงอยากกอดเธอให้นานที่สุด” ที่เคยเป็น “จึงอยากกอดเธอให้นานที่สุดอยู่กับเธอให้นานที่สุดมีชีวิตร่วมกันกับเธอก่อนการจากลา” เมื่อได้สุรชัย จันทิมาธร มาร่วมงาน และทำให้การจากลาในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นแค่ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ไม่ใช่ความสัมพันธ์ของหนุ่มสาว แต่ลงลึกไปถึงสายใยของคนร่วมสายเลือด ที่เสียงร้องของสุรชัยมาเติมทั้งความลุ่มลึกของอารมณ์ และเรื่องราว ขณะที่เสียงเครื่องสายก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เข้ามาโอบกอดความรู้สึกของคนฟัง
ในกลุ่มของเพลงใหม่ ๆ “เรื่องราว”, “เล่าสักหน่อยไหม”, “ขอมากไปไหม”, “ถ้าเธอเหนื่อย” ในแง่ของการเขียนเพลงก็ยังคงลายเซ็นของดวงดาว เดียวดายไว้แบบเข้ม ๆ ภาษาเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน แม้จะมีการใช้คำเก่า ๆ ที่อาจเอาต์ไปแล้วบ้าง แต่ก็กลายเป็นความสละสลวย เมื่อถูกเรียงร้อยเข้ากันอย่างลงตัว บนท่วงทำนองที่ลื่นไหล การเรียบเรียงที่ละเมียดประณีตมารองรับ ดนตรีเองก็เผยให้เห็นด้านอื่น ๆ ของเจ้าของงาน อย่าง “ขอมากไปไหม” มีกลิ่นไอของดนตรีร็อค, “เรื่องราว” ก็มาพร้อมสัมผัสของงานบัลลาด-ป็อป ซึ้ง ๆ, “ถ้าเธอเหนื่อย” ซึ่งอบอวลด้วยทางดนตรีในแบบที่คุ้นเคยของดวงดาว เดียวดาย ก็ฟังอบอุ่น
ส่วน “เล่าสักหน่อยไหม” ที่แต่งโดยบรรณ สุวรรณโณชิน ก็มีลูกเล่นเล็ก ๆ ที่ทำให้เพลงนี้ กลายเป็นเพลงซึ้งที่แฝงอารมณ์ขัน ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นอารมณ์ขันพิลึก ๆ ของตัวผู้เขียนเองหรือเปล่า ที่รู้สึกว่าเพลงนี้ กำลังเล่นมุกคำพ้องเสียงระหว่าง “เล่า” กับ “เหล้า” ที่ทั้งสองอย่างต่างก็ถูกใช้ดัดความทุกข์ ปลดความไม่สบายใจได้เหมือนกัน (ในความคิดของบางคน)
“เล่า (เหล้า) สักหน่อยมั้ย ไล่ความทุกข์ไป เล่า (เหล้า) สักหน่อยแม้ ฉันช่วยไม่ได้ แต่ว่าอย่างน้อย เธอควรได้รู้ ว่าฉันห่วงใย”
แต่ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ “เล่าสักหน่อยไหม” ก็เป็นเพลงที่ให้กำลังใจ มอบความรู้สึกดี ๆ ให้ใครบางคนที่กำลังมืดแปดด้าน หาทางออกไม่เจอ ไม่ต่างกัน
เช่นเดียวกับเพลงเก่า ๆ เอามาเล่าใหม่ในอัลบัมนี้ ที่อาจจะฟังต่างไปจากเดิม หรือสีสันดูจัดจ้าาน หากจริง ๆ แล้วอารมณ์เดิม ๆ ก็ยังอยู่ ต่อให้ถูกความฉูดฉาดต่าง ๆ บดบัง หรือลดทอนไปบ้าง แต่ก็แลกด้วยการแสดงถึงเหลี่ยมมุมในความเป็น “นักดนตรี” ของตัวเจ้าของงาน และชีวิตชีวาใหม่ ๆ ของเพลง ที่ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ หากก็ต้องยอมรับว่าครบเครื่อง และเพิ่มมิติให้กับงานได้จริง ๆ
สมกับกรุ่นกลิ่นโปรยลมฝน ที่อวลไอของความสดชื่น และรื่นรมย์
โดย นพปฎล พลศิลป์ จาก คอลัมน์ วิจารณ์-แนะนำ นิตยสารสีสัน ปีที่ 34 ฉบับที่ 12 มกราคม 2567
ให้กำลังใจและสนับสนุนเราได้ที่บัญชีธนาคารกสิกรไทย หมายเลข 100-2-10283-4 แล้วแจ้งมาที่กล่องข้อความของเพจ sadaos หรือที่อีเมล shopsadaos@gmail.com เพื่อรับของขวัญแทนน้ำใจ
ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านวิจารณ์หนังและเพลง ได้ด้วยการกดไลค์หรือกดติดตามเพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่