CAPTAIN PHILIPS: เหตุผลที่ทำให้ Captain Phillips เป็นหนังที่ ‘เวิร์คสุดๆ’ ก็ตรงที่มันบอกเล่าเรื่องราวที่ทวีความเข้มข้น และน่าตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆตามระยะเวลาที่ผ่านพ้น โดยที่คนทำหนังยังคงรักษาความเหนียวแน่นของตรรกะ เหตุผล ความน่าเชื่อถือ และความสมจริงในแบบเคร่งครัดและไม่ประนีประนอม และไม่มีห้วงเวลาที่คนทำหนังเกิดอาการหน้ามืด ยอมแลกความหนักแน่นและเป็นไปได้ของหนังกับผลลัพธ์ในการโน้มน้าวชักจูงอารมณ์คนดูแบบตื้นๆและไม่คุ้มค่า
ขณะที่ในแง่ของการนำเสนอบุคลิกตัวละคร ถึงแม้ว่าผู้ชมจะรู้ว่าตัวเองเรายืนอยู่ฟากไหนและข้างใคร แต่หนังก็ไม่ได้หันหลังให้กับความเป็นมนุษย์มนาของฝ่ายโจรสลัด หรือนำเสนอคนเหล่านี้ในฐานะซากเดน และมีการปูพื้นบอกเล่าความเป็นมาเป็นไป ตลอดจนระบุเหตุผลและแรงจูงใจตามสมควร
แต่แน่นอนว่าคนที่อยู่ในแสงสป็อตไลท์ก็คือทอม แฮงค์ และน่าเชื่อว่าในระยะยาว บทกัปตันฟิลลิปส์จะอยู่ในการรำลึกถึงของผู้ชม เขาไม่เพียงทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงเลือดเนื้อ ความมีชีวิตชีวาและจิตวิญญาณของตัวละคร เขายังมีสิ่งที่เรียกว่า breaking point หรือจุดแตกหักเหมือนกับคนทั่วไปในห้วงเวลาที่เจอกับภาวะบีบคั้นและกดดันอย่างเนิ่นนาน และมันยิ่งทำให้เรามองเห็นความเป็นปุถุชนคนธรรมดาของตัวละครนี้ และไม่ใช่ super human
สำหรับคนที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของพอล กรีนแกรสส์ ลายเซ็นของเขายังอยู่ครบ ทั้งการถ่ายแบบ hand-held เกือบตลอดทั้งเรื่อง การจับภาพตัวละครในระยะใกล้มากๆ (และการดูหนังเรื่องนี้ในโรง IMAX ก็ทำให้เราแทบจะเอื้อมมือไปลูบไล้หนวดเคราของทอม แฮงค์ได้สบายๆ) การตัดต่อด้วยช็อทสั้นๆอย่างต่อเนื่อง และเสียงดนตรีที่กระหึ่มเร้าและกระแทกกระทั้น ว่าไปแล้ว องค์ประกอบเหล่านี้เมื่อถูกใช้ในการถ่ายทอดเนื้อหาอย่างมีชั้นเชิงและเปี่ยมด้วยจินตนาการ มันก็ทำให้หนังที่ตั้งชื่อได้จืดชืด น่าเบื่อและไม่เรียกร้องความสนใจที่สุดเรื่องหนึ่งของปีนี้-กลายเป็นผลงานตื่นเต้นเขย่าขวัญที่ดึงให้ผู้ชมคล้อยตามไปกับตัวหนังเหมือนกับตกอยู่ในมนต์สะกดเลยทีเดียว และสองชั่วโมงกับอีกสิบกว่านาทีของหนังเรื่องนี้ก็ผ่านพ้นในสภาพที่ต่อมอะดรีนาลีนสูบฉีดอย่างหนักหน่วงและพลุ่งพล่านตลอดเวลา
โดย ประวิทย์ แต่งอักษร