1965: ซิงเกิล “Subterranean Homesick Blues” ของบ็อบ ดีแลนไปได้ไกลที่สุดถึงอันดับที่ 39 ในชาร์ตเพลงของสหรัฐอเมริกา ทำให้ดีแลนมีเพลงท็อปโฟร์ตีเพลงแรกในสหรัฐอเมริกา โดยเพลงนี้เป็นเพลงนำของอัลบัม ‘Bringing It All Back Home’ ที่วางขายในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา
“Subterranean Homesick Blues” ส่งอิทธิพลมากมาย ผ่านการดัดแปลงชื่อเพลง ไม่ว่าจะเป็นเพลง “Subterranean Homesick Alien” ของ Radiohead จากอัลบัม ‘OK Computer’ เมื่อปี 1997 วงสกาพังก์ Mustard Plug ก็มีเพลงชื่อ “Suburban Homesick Blues” ส่วนวงอินดีจากเมมฟิส The Grifters ก็มีเพลง “Subterranean Death Ride Blues” และวงโฟลก์ ร็อกจากอังกฤษ Deaf Havana ก็มีเพลงชื่อ “Subterranean Bullshit Blues” แถมประโยคเปิดท่อนสุดท้ายที่ว่า “Ah get born, keep warm” ยังกลายเป็นที่มาของชื่ออัลบัม ‘Get Borm’ ของ Jet วงการาจร็อกออสเตรเลีย
1982: เพลงที่ว่าด้วยการปรองดองของคนต่างสีผิว “Ebony And Ivory” ของพอล แม็กคาร์ตนีย์ และสตีวี วอนเดอร์ ขึ้นอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกา
โดยที่มาของการแต่งเพลงนี้ของแม็กคาร์ตนีย์ก็คือ ความสงสัยที่ว่า ถ้าคีย์เปียโนสีขาวและดำ สามารถอยู่ร่วมกันได้บนเปียโน แล้วทำไมคนเราจะอยู่ร่วมกันไม่ได้ล่ะ? โดยตอนแรกเขาตั้งใจจะให้เป็นเพลงที่ร้องคนเดียว ก่อนจะกลายเป็นการร่วมงานระดับอภิมหาซูเปอร์สตาร์เมื่อวอนเดอร์มาร่วมงานด้วย
เพลงนี้อยู่ในอัลบัม ‘Tug Of War’ ของแม็กคาร์ตนีย์ เมื่อปล่อยออกมาก็ตรงดิ่งไปขึ้นอันดับ 1 และค้างตรงอยู่ตรงนั้นถึง 7 สัปดาห์ เท่ากับที่เพลง “I Love Rock And Roll” ของโจน เจ็ตต์ ทำได้ ซึ่งมากพอจะกลายเป็นซิงเกิลที่ครองอันดับ 1 นานที่สุดของปีนั้น แต่ที่เพลงนี้แตกต่างไปจากเพลงสนุก ๆ ที่ขึ้นอันดับ 1 ในปี 1982 เพลงอื่น ๆ อย่าง “Eye of the Tiger” และ “Centerfold” ก็คือ หลังจากได้ฟังเรื่องราวในเพลง “Ebony And Ivory” กันนาน ๆ แล้ว คนฟังก็ไม่อยากได้ยินเพลงนี้ซ้ำ เพราะเพลงที่ฟังหวาน ๆ เพลงนี้ ดูจะมีการสอนสั่งในตัว โดยแนวคิดของเพลงนั้นแข็งแรงมาก ๆ โดยเฉพาะหากได้ยินเนื้อร้องอย่าง “We all know that people are the same where ever you go” คุณจะเข้าถึงสารที่เพลงนี้ต้องารจะสื่อ
ท่อนที่วอนเดอร์เข้ามาถือว่า ถูกจังหวะมาก ๆ เพราะทั้งยกระดับเพลง ทั้งสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันให้เกิดขึ้น โดยเขายังเป็นแกนนำคนสำคัญที่ทำให้วันเกิดของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ กลายเป็นวันหยุดประจำชาติของอเมริกา ซึ่งทำสำเร็จในปี 1983 วอนเดอร์ยังสู้กับเรื่องการเหยียดผิวในแอฟริกาใต้ ที่นำไปสู่การปล่อยเนลสัน แมนเดลาให้เป็นอิสระ
ในปี 1983 แม็กคาร์ตนีย์ก็มีเพลงอันดับ 1 จากการทำงานกับซูเปอร์สตาร์อีกครั้ง โดยเป็นการร้องคู่กับไมเคิล แจ็กสัน ในพลง “Say Say Say”
2003: จูน คาร์เทอร์ แคช นักร้องคันทรีและภรรยาของจอห์นนี แคช เสียชีวิตที่แนชวิลล์, เทนเนสซี จากอาการแทรกซ้อนเนื่องจากการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ ในวัย 73 ปี
จูนเล่นเครื่องดนตรีได้หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นกีตาร์, แบนโจ, ฮาร์โมนิกา และออโตฮาร์ป นอกจากนี้เธอยังเป็นนักแสดงภาพยนตร์ทั้งจอใหญ่และโทรทัศน์
จูนได้รับรางวัลแกรมมีถึง 5 รางวัล และอยู่ในอันดับที่ 31 ของการจัดอันดับ 40 ศิลปินหญิงที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในวงการเพลงคันทรี เมื่อปี 2003
ให้กำลังใจและสนับสนุนเราได้ที่บัญชีธนาคารกสิกรไทย หมายเลข 100-2-10283-4 แล้วแจ้งมาที่กล่องข้อความของเพจ sadaos หรือที่อีเมล shopsadaos@gmail.com เพื่อรับของขวัญแทนน้ำใจ
ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านวิจารณ์หนังและเพลง ได้ด้วยการกดไลค์เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่