
วันนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวันสำคัญของอเดล, วันถ่ายทำมิวสิกวิดีโอเพลงหนึ่งของ Queen ที่เกิดเรื่องซึ่งคิดย้อนไปแล้วก็ฮา ๆ เรื่องปัญหาครอบครัวของเอ็มมิเน็มและแม่ รวมถึงวันที่ Pink Floyd สร้างตำนานอีกหน้าหนึ่งให้เกิดขึ้น
1978: มีการถ่ายทำวิดีโอเพลง ‘Bicycle Race’ ของ Queen ที่วิมเบิลดัน สเตเดียม ทางตอนใต้ของลอนดอน
โดยในวิดีโอจะมีสาว ๆ เรือนร่างเปลือยเปล่ารวม 65 คน ซึ่งเป็นนางแบบอาชีพถีบจักรยานแข่งกันไปบนลู่วิ่งของสนาม โดยจักรยานทั้งหมดถูกเช่ามาเพื่อการถ่ายทำ
เมื่อบริษัทให้เช่าจักรยานรู้ว่าจักรยานของพวกเขาถูกเช่ามาทำอะไร มีรายงานต่อจากนั้นว่า ทางบริษัทเรียกค่าชดเชยเพิ่มเติม เพื่อใช้ในการเปลี่ยนอานจักรยาน
1982: อัลบัมคู่ ที่เป็นงานระดับตำนานของ Pink Floyd ‘The Wall’ พาตัวเองขึ้นไปอยู่ในจอใหญ่ ด้วยการเป็นภาพยนตร์เพลงขนาดยาว โดยมีคนไม่มากนักที่คิดว่า คอนเซ็ปต์อัลบัมชุดนี้จะกลายเป็นภาพยนตร์ขึ้นมาได้
แต่นอกจากจะกลายเป็นหนังออกฉายแล้ว ภาพยนตร์ที่เป็นการร่วมงานกันของวงกับผู้กำกับอลัน พาร์เกอร์ และนักวาดภาพเคลื่อนไหว เจอราลด์ สคาร์เฟ ยังกลายเป็นฮิตในอันดับหนังทำเงิน รวมถึงกลายเป็นงานคัลต์คลาสสิกในเวลาต่อมา
ในตอนแรกทางบริษัทแผ่นเสียงต้นสังกัดของวง ตั้งใจที่จะสร้างภาพยนตร์จากการทัวร์สนับสนุนอัลบัมชุดนี้ของวง ซึ่งลงทุนกันสูงมาก แต่หลังจากฟุตเทจการแสดงสดของพิงก์ฟลอยด์ที่ออกมา คุณภาพต่ำกว่าที่ต้องการ โปรเจ็กต์ภาพยนตร์ก็มีการเปลี่ยนแปลง กลายเป็นงานในแบบสัญลักษณ์ที่ถูกถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์ที่ผสมผสานกันระหว่างคนแสดง และแอนิเมชันวาดมือ และเล่าเรื่องโดยแทบไม่มีบทสนทนาตามปกติ อลัน พาร์เกอร์คนทำหนังชาวอังกฤษ ที่เป็นแฟนของพิงก์ฟลอยด์ ซึ่งมาเป็นผู้กำกับเจ้าของเครดิตในหนังเพลง อย่าง ‘Bugsy Malone’ และ ‘Fame’ ถูกดึงมาทำโปรเจ็กต์นี้ร่วมกับนักวาดการ์ตูนเสียดสี เจอราลด์ สคาร์เฟ
บ็อบ เกลดอฟ นักร้องชาวไอริชของวง the Boomtown Rats ที่ตอนนั้นยังไม่เป็นที่รู้จักในนามผู้รณรงค์ช่วยเหลือผู้ขาดอาหารในเอธิโอเปีย มารับบทนำของหนัง ฟลอยด์ “พิงก์” พิงเคอร์ทัน ซึ่งในตอนแรกเป็นบทที่เตรียมไว้ให้กับโรเจอร์ วอเทอร์ส มือเบสและแกนนำของวง โดยฉากที่ตัวเอกของเรื่องลื่นไถลไปสู่ภาวะจิตหลุดอันเนื่องจากการกระตุ้นของยา และการเกิดขึ้นใหม่ในร่างของเผด็จการ ฟาสซิสต์ยุคใหม่ ที่ถูกใส่เข้ามาและตัดสลับกับเรื่องราวย้อนหลังในชีวิตของเขา แต่ละเหตุการณ์เปรียบได้กับอิฐแต่ละก้อนที่พิงก์นำมาสร้างเป็นกำแพงก่อล้อมรอบอารมณ์ ความรู้สึกของตัวเอง และเมื่อมาถึงตอนท้ายที่สุด พิงก์ก็ทำให้ตัวเองถูกดำเนินคดีในฉากแอนิเมชันที่ว่ากันยาว ๆ
มีการถกเถียงกันหลายครั้งระหว่างการทำงานของ พาร์เกอร์, สคาร์เฟ และวอเทอร์ส โดยพาร์เกอร์เล่าในเวลาต่อมาว่า การทำงานหนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุดในชีวิตการสร้างสรรค์ของเขา เดวิด กิลมอร์ เสริมด้วยว่า การทำอัลบัมและหนัง ‘The Wall’ เป็นจุดเริ่มต้นความขัดแย้งที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ระหว่างเขากับวอเทอร์ส ซึ่งท้ายที่สุดนำไปสู่จุดที่ทำให้ฝ่ายหลังออกจากวง
ตัวภาพยนตร์ประสบความสำเร็จอย่างเหลือเชื่อ โดยตอนแรกเปิดฉายเพียงแค่โรงเดียว แต่ท้ายที่สุดก็ขึ้นไปถึงอันดับ 3 บนชาร์ตบ็อกซ์ ออฟฟิศ หลังจากปล่อยฉายทั่วประเทศ ซึ่งตอนที่ภาพยนตร์ฉายมักจะมีกลิ่นแปลก ๆ ในโรงหนัง เนื่องจากทางโรงจะขายอาหารขบเคี้ยวกลิ่นที่แตกต่างไปจากปกติ จากนั้นหนังก็มีชีวิตที่สอง ด้วยการกลายเป็นงานคัลต์คลาสสิก ซึ่งต้องขอบคุณการปล่อยขายในแบบโฮมวิดีโอ
1999: เด็บบี มาเธอร์ส-บริกก์ส แม่ของเอ็มมิเน็ม ฟ้องลูกชายตัวเอง โดยอ้างว่า การที่เขาบอกกับสื่อและในเพลงว่า เธอเป็นแม่ที่ไม่เหมาะสม ทำลายชีวิตของเธอ โดยเธอไม่สามารถมีงานทำได้นาน ๆ หรือมีบัตรเครดิตได้
ในเพลง “My Name Is” เอ็มมีเน็มร่ายเอาไว้ว่า “I just found out my mom does more dope than I do.” (ผมพบว่าแม่ของผมเล่นยามากกว่าที่ผมเล่น) ท้ายที่สุดคดีจบลงตรงที่การยอมความด้วยการจ่ายค่าเสียหาย 25,000 เหรียญสหรัฐฯ
2011: อเดลขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ตเพลงสหรัฐอเมริกา ด้วยเพลง “Someone Like You” โดยเพลงนี้ยังขึ้นอันดับ 1 ในออสเตรเลีย, ไอร์แลนด์, นิว ซีแลนด์, ฟินแลนด์, ฝรั่งเศส, อิตาลี, โปแลนด์, สวิตเซอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร
ให้กำลังใจและสนับสนุนเราได้ที่บัญชีธนาคารกสิกรไทย หมายเลข 100-2-10283-4 แล้วแจ้งมาที่กล่องข้อความของเพจ sadaos หรือที่อีเมล shopsadaos@gmail.com เพื่อรับของขวัญแทนน้ำใจ
ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านวิจารณ์หนังและเพลง ได้ด้วยการกดไลค์เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่