หนังอัตชีวประวัติของวงควีน Bohemian Rhapsody เป็นหนังอีกเรื่องที่เตรียมการมายาวนาน และก็เจอกับอุปสรรคล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการหาผู้กำกับ การเปลี่ยนตัวนักแสดง แต่ในที่สุดก็เดินหน้าได้สำเร็จ และมีกำหนดปล่อยออกฉายในปีหน้า (2018)
หากก็ไม่ได้หมายความว่าการทำงานจะเต็มไปด้วยความราบรื่น เพราะล่าสุดหลังวันขอบคุณพระเจ้าก็มีข่าวว่าผู้กำกับไบรอัน ซิงเกอร์ (Bryan Singer) ถูกปลดออกจากการดูแลหนังเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว ตามด้วยการที่ทะเว็นตี เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ยืนยันว่าได้ไล่ซิงเกอร์จากการทำงานจริง โดยให้เหตุผลว่าการทำงานของซิงเกอร์ดูไม่น่าไว้วางใจ
ก่อนหน้านี้มีข่าวซิงเกอร์หายตัวไปจากกองถ่าย และทางฟ็อกซ์ออกมาบอกว่า การทำงานต้องหยุดลงชั่วคราว เนื่องจากซิงเกอร์ไม่พร้อมที่จะทำงาน และทางตัวแทนผู้กำกับบอกกับบีบีซีว่า มีปัญหาเรื่องสุขภาพส่วนตัว ที่ทำให้ซิงเกอร์และครอบครัวเกิดความวิตกกังวล และซิงเกอร์หวังว่าจะกลับมาทำงานหลังจากช่วงวันหยุดยาวสิ้นสุด แต่ไปๆ มาๆ ทางฟ็อกซ์กลับใช้การทิ้งงานของซิงเกอร์ มาเหตุผลหนึ่งในการไล่ออก
ขณะที่การทำงานในกองถ่าย ความตึงเครียดระหว่างซิงเกอร์กับรามี มาเล็ค (Rami Malek) นักแสดงที่มารับบทเป็นเฟร็ดดี เมอร์คิวรี (Freddie Mercury) ทวีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนมาเล็คถึงกับบ่นเรื่องการหายตัวไปของผู้กำกับกับทางสตูดิโอ โดยอ้างว่าซิงเกอร์ไม่มาทำงาน รวมทั้งดูไม่น่าไว้ใจ และไม่เป็นมืออาชีพ การที่ซิงเกอร์หายตัวไปเฉยๆ หลายครั้ง ทำให้บรรดานักแสดงรู้สึกหงุดหงิดไปตามๆ กัน กระทั่งทอม ฮอลแลนเดอร์ที่รับบทผู้จัดการของวงควีน ต้องออกจากกองถ่ายไปชั่วเวลาหนึ่งด้วยเหตุนี้ และทำให้ผู้กำกับภาพ โธมัส นิวตัน ซีเกล (Thomas Newton Sigel) ต้องจับงานกำกับแทนในช่วงที่ซิงเกอร์ไม่อยู่ นอกจากนี้มาเล็คกับซิงเกอร์ก็เคยปะทะคารมกันแรงๆ ในกองถ่ายอย่างน้อยก็หนหนึ่ง จนผู้กำกับถึงกับขว้างข้าวของ แต่ท้ายที่สุดทั้งคู่ตกลงใจจะเดินหน้าต่อ แต่พอซิงเกอร์ไม่ยอมกลับมาทำงานหลังวันขอบคุณพระเจ้า โดยมีเมาท์ๆ กันว่า เขาบอกกับคนอื่นๆ ว่าเจอกับอาการ พีทีเอสดี (PTSD: Post-Traumatic Stress Disorder หรืออาการความเครียดหลังจากเหตุการณ์สะเทือนใจ) เพราะความขัดแย้งในกองถ่าย ซีเกลจึงต้องทำหน้าที่กำกับแทนในหลายฉาก และในที่สุดการถ่ายทำก็ต้องหยุดชะงักลง ซึ่งนำไปสู่การประกาศยกเลิกสัญญากับผู้กำกับของฟ็อกซ์
ต้นปีนี้ ซิงเกอร์เคยให้สัมภาษณ์ถึงการทำงานใน Bohemian Rhapsody ว่า “ผมมีความเหมือนกับเฟร็ดดี เมอร์คิวรีในระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปมทางเพศ, เชื้อชาติ เนื่องจากผมเป็นเด็กยิวที่เติบโตมาในกลุ่มเพื่อนบ้านคาธอลิค ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนนอก” ซิงเกอร์ กล่าว “แต่ผู้ชายคนนี้สามารถผ่านทุกอย่างมาได้ เขาใช้การอยู่ต่อหน้าผู้ชมเป็นทางรอดชีวิต และผมก็ทำงานของผมด้วยความรู้สึกแบบเดียวกัน แต่อยู่เบื้องหลังกล้อง เมื่อคุณเป็นผู้กำกับนั่นคือส่วนหนึ่งในงานของคุณ คุณต้องควบคุมผู้ชมจำนวนมหาศาลให้ได้ แต่สารพัดความแปลกประหลาดเหล่านี้ มันเป็นความรู้สึกที่เชื่อมโยงกับเขาได้และสิ่งที่ทำให้ผมสัมผัสเขาได้ก็คือดนตรี นั่นคือเหตุผลที่ผมอยากทำงานนี้ (กำกับภาพยนตร์) มายาวนานกว่าทศวรรษครึ่ง”
ก่อนหน้านี้ ผู้บริหารของฟ็อกซ์เคยบอกกับซิงเกอร์ว่า ต้องการความเป็นมืออาชีพในการทำงาน เพราะก่อนนี้ซิงเกอร์เคยหายตัวไปจากกองถ่าย X-Men: Apocalypse และ Superman Returns มาแล้ว และทำให้ทางสมาคมผู้กำกับของอเมริกาต้องส่งตัวแทนมาตรวจสอบการทำงานของเขาในกองถ่ายตามมา สำหรับคนที่จะมาทำหน้าที่แทนนั้น ยังไม่มีข่าวว่าฟ็อกซ์จะเลือกใครมาทำงานต่อ และไม่มีการประกาศว่า หนังจะเลื่อนกำหนดฉายออกไปจากเดิมหรือไม่? ซึ่งคงต้องติดตามกันต่อไป
สำหรับนักแสดงคนอื่นๆ ประกอบด้วย เบน ฮาร์ดี (Ben Hardy) รับบทเป็น ดนเจอร์ เทย์เลอร์ (Roger Taylor) มือกลองของวง. กวิลีม ลี (Gwilym Lee) รับบท มือกีตาร์ – ไบรอัน เมย์ (Brian May) และ โจ มาซเซลโล (Joe Mazzello) เล่นเป็น จอห์น ดีคอน (John Deacon) มือเบสของวง
อัพเดท: ท้ายที่สุด หนังได้เด็กซ์เตอร์ เฟล็ทเชอร์ มาทำหน้าที่แทน แต่เครดิตยังคงเป็นของผู้กำกับซิงเกอร์ ตามกฏของสมาคมผู้กำกับแห่งอเมริกา ที่หนังเรื่องหนึ่งจะมีชื่อผู้กำกับได้เพียงหนึ่งชื่อ ซึ่งเฟล็ทเชอร์บอกว่า เขามารับงานต่อจากซิงเกอร์ที่ทำหนังเสร็จไปแล้วถึง 2 ใน 3 และทำสำเร็จเสร็จสิ่นออกมาให้ได้ชมกันอย่างที่เห็น
โดย ฉัตรเกล้า