อำลา-อาลัย ริชาร์ด แอทเทนโบโรก์ห ผู้จากไป

ลอร์ดแอทเทนโบโรก์ห หรือที่เรารู้จักกันดีในนาม เซอร์ริชาร์ด แอทเทนโบโรกห์ ที่ใช้เวลานานถึง 2 ทศวรรษเพื่อนำเอาเรื่องราวของมหาตมะ คานธีมาขึ้นจอ และคว้ารางวัลออสการ์ไปได้ถึง 8 รางวัล ทั้งรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และผู้กำกับยอดเยี่ยม เสียชีวิตแล้วด้วยวัย 90 ปี

ผู้อำนวยการสร้าง, ผู้กำกับ และนักแสดง แอทเทนโบโรก์ห เคยได้รับรางวัลบาฟตาในฐานะนักแสดงเมื่อปี 1964 ซึ่งเขาได้รับการเสนอชื่อจากหนังถึง 2 เรื่องคือ Séance on a Wet Afternoon และ Guns at Batasi. คว้ารางวัลลูกโลกทองคำ 2 ครั้งจากการแสดงใน The Sand Pebbles (1966) และ Dr. Dolittle (1967) รวมทั้งจากการกำกับภาพยนตร์เรื่อง Oh! What A Lovely War (1969)

“ริชาร์ด แอทเทนโบโรก์ห เป็นหนึ่งผู้ยื่งใหญ่แห่งวงการภาพยนตร์” นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เดวิด คาเมรอน กล่าวผ่านทวิตเตอร์

ในฐานะนักแสดง แอทเทนโบโรก์ห ผ่านการแสดงมากถึงกว่า 70 เรื่อง รวมทั้งคว้ารางวัลสูงสุดของนักแสดงมาครองจากหลายๆ เวที เช่น จาก The Angry Silence ในงานเทศกาลภาพยนตร์ที่เบอร์ลิน เมื่อปี 1960 ขณะที่ในฐานะผู้กำกับ ก็ประสบความสำเร็จยิ่งกว่า เมื่อส่งให้นักแสดงหลายต่อหลายคนได้เข่าชิงรางวัลออสการ์ เช่น เดนเซล วอชิงตันจาก Cry Freedom (1987), โรเบิร์ท ดาวนีย์ จูเนียร์ ใน Chaplin (1992) และแอนโธนี ฮอพกินส์ จาก Shadowlands (1993)

แอทเทนโบโรก์ห เคยประกบกับสตีฟ แม็คควีน ในหนัง The Great Escape (1963) โดยเขารับบทเจ้าของแผนการหลบหนีครั้งสำคัญ ในปี 1966 เขาเล่นคู่กับเจมส์ สจวร์ท ใน The Flight of the Phoenix ก่อนจะคว้ารางวัลลูกโลกทองคำมาครองจาก The Sand Pebbles and Dr. Dolittle (1967) ตามด้วยงานชั้นดีที่เล่นคู่กับเชอร์ลีย์ แม็คเลนใน The Bliss of Mrs. Blossom (1968)

เขาแจ้งเกิดในฐานะผู้กำกับในปี 1968 ด้วย Oh! What a Lovely War หนังเสียดสีพวกคลั่งชาติ โดยมีจอห์น เล็นนอน เป็นหนึ่งในนักแสดง หนังคว้ารางวัลระดับนานาชาติมาครองได้ถึง 16 รางวัล ซึ่งรวมรางวัลลูกโลกทองคำด้วย
หลังความสำเร็จของ Gandhi (1982) งานกำกับของเขาไม่ค่อยประสบความสำเร็จในเรื่องรายได้นัก ไม่ว่าจะเป็น หนังที่ดัดแปลงมาจากละครเพลง A Chorus Line (1985), หนังแอนตีการเหยียดผิว Cry Freedom (1987) และหนังอัตชีวประวัติ Chaplin

หลังจากกำกับ Chaplin แอทเทนโบโรก์ห กลับมาเล่นภาพยนตร์อีกครั้ง ตามคำขอร้องของสตีเวน สปีลเบิร์ก ที่ชื่นชมเขามานานด้วยการรับบทจอห์น แฮมมอนด์ ใน Jurassic Park (1993) และมารับบทนี้อีกหนใน Jurassic Park: The Lost World (1997) นอกจากนี้เขายังเล่นหนังประกอบเครื่องเล่น Jurassic Park ในสวนสนุกของยูนิเวอร์แซลอีกด้วย

“ดิคกี แอทเทนโบโรก์ห มีความกระตือรือร้นเกี่ยวกับทุกสิ่งในชีวิตของเขา ครอบครัว, เพื่อนๆ, ประเทศชาติ และการงาน” สปีลเบิร์กกล่าวในแถลงการณ์​“เขามอบของขวัญให้กับโลก ด้วยงานมหากาพย์ที่สร้างแรงบันดาลใจอย่าง Ghandi และเขาเป็นคนที่สมบูรณ์แบบมากๆ ในการนำไดโนเสาร์กลับมามีชีวิตอีกหน จากบทจอห์น แฮมมอนด์ ใน Jurassic Park เขาเป็นเพื่อนที่น่ารัก และผมก็คือหนึ่งในคนที่ยืนอยู่ในแถวยาวเหยียด ที่ไม่มีวันสิ้นสุด ที่ชื่นชม นับถือเขาตลอดไป”