87 - 87Shares
นอกจากจะกลายเป็นหนังไฮบริด ฝรั่งปนจีน อย่างที่เห็นใน The Meg หรือ Skyscraper แล้ว หากสังเกตดีๆ หนังบิ๊กๆ หลายเรื่องที่เข้าฉายในช่วงปี – สองปีมานี้ ล้วนมีโลโกของบริษัทในจีนพ่วงต่อจากสัญลักษณ์ของบริษัทหนังที่เรารู้จักดี กระทั่งหนังที่ดูเป็นฮอลลีวูดจ๋าๆ อย่าง Mission: Impossible – Fallout ก็ไม่เว้น
ซึ่งล้วนแสดงให้เห็นถึงการเติบโต และยิ่งใหญ่มากขึ้นของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของจีน ทั้งการเป็นผู้บริโภคและผู้สร้าง และจากตัวเลขรายได้ในไตรมาสแรกของปี 2018 ตลาดจีนก็กลายเป็นตลาดภาพยนตร์ที่ใหญ่กว่าอเมริกาเหนือเรียบร้อยแล้ว โดยทำรายได้มากกว่ารายได้หนังที่ฉายในสหรัฐอเมริกาและแคนาดารวมกันเป็นครั้งแรก และน่าจะเป็นการส่งสัญญาณบางอย่างมาให้กับสตูดิโอต่างๆ ในฮอลลีวูดรับรู้ชัดเจนมากขึ้น
ในไตรมาสแรกของปี 2018 รายได้รวมบ็อกซ์ออฟฟิศจีน สามารถเอาชนะรายได้ในอเมริกาเหนือเป็นครั้งแรก โดยตัวเลขรายได้อยู่ที่ 3.17 พันล้านเหรียญ ขณะที่ในอเมริกาเหนือสามารถทำได้เพียง 2.85 พันล้านเหรียญ ซึ่งหากเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2017 แล้ว รายได้ในจีนเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 39% ส่วนรายได้ในอเมริกาเหนือ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเหมือนกัน อาการกลับไม่ดีเท่า เมื่อลดลงจากเดิม 2%
อาจจะดูน่าตกใจ แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วนี่คือสิ่งที่นักวิเคราะห์ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ มองเอาไว้แล้วว่า ในไม่ช้าไม่นานตลาดภาพยนตร์ของจีนจะกลายเป็นตลาดใหญ่ แซงหน้าตลาดอเมริกาเหนือได้สำเร็จ เมื่อมีประชากรมากถึง 1.3 พันล้านคน ซึ่งมากกว่าประชากรของอเมริกาเหนือถึง 4 เท่า
ขณะที่เปอร์เซ็นต์รายได้ที่โรงภาพยนตร์ในจีนตอบแทนให้สตูดิโอน้อยกว่า ทำให้บรรดาผู้สร้างภาพยนตร์อเมริกันหาทางออกด้วยการมองมายังภูมิภาคตะวันออกไกล ในการเป็นตัวการันตีหลักๆ สำหรับผลกำไรและการเติบโตในอนาคต ฟังดูเหมือนจะเป็นเรื่องดี แต่จริงๆ แล้วไม่เลย ถึงแม้ว่าตัวเลขแค่ไตรมาสนี้ไตรมาสเดียวจะสะท้อนภาพรวมทั้งปีไม่ได้ก็ตาม แต่ความสำเร็จในตลาดจีนไม่ใช่ลางดีสักเท่าไหร่ เมื่อมันแทบไม่ส่งผลอะไรต่อสตูดิโอเลยด้วยซ้ำ เพราะการเติบโตที่พุ่งพรวดขึ้นมานั้น หลักๆ แล้วเป็นผลจากความสำเร็จมหาศาลของหนังท้องถิ่นหลายต่อหลายเรื่องติดต่อกัน เริ่มจาก Operation Red Sea ที่ทำเงินในไตรมาสนี้ไป 574 ล้านเหรียญ, Detective Chinatown 2 ทำเงินไป 541 ล้านเหรียญ และ Monster Hunt 2 ทำเงินไป 356 ล้านเหรียญ ขณะที่หนังนำเข้าจากฮอลลีวูดที่ทำเงินสูงสุดในไตรมาสเดียวกัน ได้แก่ Black Panther ที่ทำรายได้ไปแค่ 105 ล้านเหรียญ
เมื่อดูตัวเลขที่ได้มาจากเว็บไซต์ BoxOfficeMojo.com จะยิ่งเห็นชัดเจนมากขึ้นว่า รายได้ร่วมๆ 2 พันล้านเหรียญนั้น เป็นรายได้ของหนังท้องถิ่นทั้งหมดรวมกัน ขณะที่รายได้ของหนังจากสตูดิโอฮอลลีวูด ที่รวมไปถึงหนังที่สร้างโดยบริษัทอังกฤษด้วย ทำได้ไม่ถึงพันล้านเหรียญด้วยซ้ำ สำหรับตัวเลขที่เหลือนั้นเป็นรายได้จากหนังของประเทศอื่นๆ เช่น Bajrangi Bahijaan ของอินเดีย ที่สามารถทำรายได้ในจีนถึง 45 ล้านเหรียญ
โดยบรรดาหนังอเมริกันที่เข้าฉายในจีน ช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ที่ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ นอกเหนือไปจาก Black Panther ก็มี Pacific Rim: Uprising – 90 ล้านเหรียญ, Jumanji: Welcome to the Jungle และ Tomb Raider ที่ทำเงินไปเรื่องละ 78 ล้านเหรียญ ขณะที่ Ready Player One ก็เปิดตัวฉายและทำรายได้ในช่วงท้ายไตรมาสแรกด้วยตัวเลข 62 ล้านเหรียญ (ก่อนจะปิดตัวเลขที่ 218 ล้านเหรียญ) ขณะที่ Star Wars: The Last Jedi ที่เปิดตัวเมื่อเดือนมกราคม ทำเงินไปได้แค่ 43 ล้านเหรียญเท่านั้น
ย้อนไปดูไตรมาสแรกของปี 2017 หนังอเมริกันสามารถทำเงินรวมกันได้ถึงราวๆ 1.9 พันล้านเหรียญ นำโดย xXx: The Return of Xander Cage – 183 ล้านเหรียญ ตามด้วย Resident Evil: The Final Chapter, Kong: Skull Island และ Logan ซึ่งทั้งหมดล้วนทำรายได้มากกว่า Black Panther และในช่วงเวลาเดียวกัน ก็เป็นเป็นช่วงเวลาที่น่าผิดหวังสำหรับหนังร่วมสร้างของจีน เมื่อ The Great Wall ที่นำแสดงโดยแม็ตต์ เดมอน ทำเงินในจีนได้เพียง 170 ล้านเหรียญ ก่อนจะเก็บได้มากเป็นสองเท่าจากตลาดนอกประเทศ แต่ก็ถือว่าหนังทำรายได้ไม่ดีในบ้านตัวเอง เมื่อใช้ทุนสร้างถึง 150 ล้านเหรียญ ซึ่งสูงมากๆ สำหรับการทำหนังจีนสักเรื่องหนึ่ง โดยมากกว่าหนังท้องถิ่นแท้ๆ อย่าง Operation Red Sea ที่มีรายงานว่าใช้งบแค่ 70 ล้านเหรียญ ทำให้เป็นการยากที่จะนำมาเทียบกัน
ตัวเลขของหนังอเมริกันที่ทำได้ อาจจะดูเลวร้ายหากมองโดยไม่นึกถึงองค์ประกอบที่เป็นเรื่องท้องถิ่นในไตรมาสแรก เพราะอย่าลืมว่า ระบบควบคุมการจัดจำหน่ายภาพยนตร์โดยรัฐของจีน จะเป็นผู้ที่ควบคุมว่าหนังเรื่องไหนควรฉายเมื่อไหร่ และหนึ่งในกฏที่มีก็คือว่า ในสองช่วงเวลาสำคัญ ปลายเดือนธันวาคม และช่วงตรุษจีนราวๆ เดือนกุมภาพันธ์ จะเก็บไว้ให้หนังที่สร้างโดยบริษัทจีนเท่านั้น และผลพวงจากกฏที่ว่าก็ทำให้หนังอเมริกันทำเงินสูงๆ ของปี 2018 อย่าง The Last Jedi และ Jumanji: Welcome to the Jungle ต้องพลาดฉายในวันสำคัญๆ ที่น่าจะช่วยยกระดับรายได้ให้มากขึ้นไปอีก ส่วน Black Panther ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากวันตรุษจีน
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับตัวเลขอย่างที่เห็นในไตรมาสแรก เมื่อ Operation Red Sea และ Detective Chinatown 2 ทำรายได้มากกว่าที่หนังอเมริกันทำได้ โดยหนัชุด Fast and Furious สองเรื่องหลังทำได้มากที่สุดก็แค่ใกล้ๆ 400 ล้านเหรียญ แล้วเมื่อย้อนไปดูหนังทำงานมหาศาลเมื่อปลายปีที่แล้ว Wolf Warrior 2 ก็ทำเงินไปถึง 854 ล้านเหรียญ หนังท้องถิ่นทั้งสามเรื่องทำให้สิ่งที่หนังอเมริกันนำเสนอเป็นเรื่องที่ถูกมองข้าม แถมไม่สนใจด้วยว่าผู้ชมนอกตลาดจีนจะอยากชมพวกเขาไหม เมื่อผู้อำนวยการสร้างชาวจีนค้นพบสูตรที่สามารถดึงดูดผู้ชมในบ้านได้สำเร็จ โดยไม่ต้องอาศัยนักแสดงอินเตอร์
ที่น่าจะทำให้บรรดาผู้อำนวยสร้างทำหนังในแบบเดียวกันให้มากขึ้น เพื่อยึดจอฉายของโรงภาพยนตร์ให้มากกว่าเดิม ซึ่งกลายเป็นการสร้างความพึงพอใจให้กับระบบควบคุมการจัดจำหน่ายภาพยนตร์ในประเทศของรัฐ, ทำเงินทำทองให้กระเป๋าตัวเองและดึงดูดพวกคอหนังชาตินิยมได้เป็นอย่างดี รวมทั้งทำให้บรรดาสตูดิโอรู้สึกกระอักกระอ่วนกับประเทศที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยมองว่า เป็นทางรอด เมื่อตลาดในประเทศสุกงอมเต็มที่แล้ว
แน่นอนว่าบรรดาสตูดิโออเมริกันคงไม่ยกธงขาวยอมแพ้ หรือหันหลังให้กับการแข่งขัน แต่ก็ยากที่จะมองเห็นถึงการตอบรับอย่างที่ต้องการในตลาดจีน เพราะที่ภาพที่ปรากฏอยู่ในตอนนี้ก็คือ ความพยายามยึดฐานที่มั่นเดิมๆ คืน ด้วยเงินลงทุนที่มากขึ้นอย่างจริงจังกับภาพยนตร์ ที่ดึงดูดคอหนังในบ้านตัวเองน้อยลง
ตัวถ่วงดุลในเรื่องนี้ที่สำคัญ หากมองกันเฉพาะไตรมาสแรกก็คือ Black Panther หนังทำเงินมากที่สุดในอเมริกาในช่วงเวลาที่ว่า ซึ่งกลายเป็นผู้ชนะของดิสนีย์และมาร์เวล ถึงแม้รายได้ในจีนจะเป็นเรื่องที่แตกต่าง แต่อย่างน้อยก็ยังไม่มีหนังเรื่องไหนในไตรมาสแรกที่ประสบความสำเร็จมากพอจะเปรียบกันได้ แล้วยังสามารถตั้งคำถามถึงการจัดสรรทุนสร้างจากที่ต่างๆ ได้อีกต่างหาก
ท้ายที่สุด ตลาดจีนก็คือตัวอย่างสำคัญสำหรับการเติบโตของตลาดหนังท้องถิ่น แต่ที่นี่ก็ไม่ใช่เพียงที่เดียวในโลก ยังมีตลาดอินเดียที่สามารถพึ่งพาตัวเองได้มาตลอด ขณะที่ตลาดหนังท้องถิ่นของรัสเซียก็กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ญี่ปุ่นเองก็มีหนังท้องถิ่นทำเงินออกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดล้วนแสดงให้เห็นว่า ความต้องการหนังจากฮอลลีวูดมีแนวโน้มลดลงมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามยังมีสัญญาณที่ดีเล็กๆ แสดงให้เห็นสำหรับรายได้หนังในตลาดอเมริกาเหนือ แล้วกับประชากรในจีนกว่าพันล้านคน บางทีก็อาจจะมากเกินไปสำหรับผู้ผลิตหนังท้องถิ่นที่จะทำงานตอบสนองความต้องการก็เป็นได้
โดย ฉัตรเกล้า เรื่อง เมื่อตลาดจีนกลายเป็นตลาดหนังที่ใหญ่ที่สุด Special Scoop นิตยสารเอนเตอร์เทน ฉบับที่ 1263 ปักษ์แรกกันยายน 2561
ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านวิจารณ์หนังและเพลง ได้ด้วยการกดไลค์เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่
87 - 87Shares