
ทุกๆ เรื่องราวล้วนมีจุดจบ และ The Rise Of Skywalker ก็คือบทสรุปที่ไม่ใช่แค่ไตรภาคใหม่ของ Star Wars แต่ยังเป็นตอนจบของเรื่องราวทั้ง 9 ภาคของ Star Wars ที่ถูกเล่าขานมานานกว่า 4 ทศวรรษบนจอภาพยนตร์
“การเดินทางของพวกคุณ ใกล้จบเต็มที” เสียงหลอนๆ อันคุ้นเคยของจักรพรรดิพัลพาไทน์ดังก้องห้องประชุมในงาน ดี 23 ขณะที่ทีเซอร์ของ Star Wars: The Rise of Skywalker หนังตอนสุดท้ายที่ว่าด้วยเรื่องราวของพวกสกายวอลเกอร์ กำลังจะเปิดตัวให้ได้ชมเป็นครั้งแรก ต่อหน้าผู้ชมที่กำลังยินดีปรีดา จากนั้นเสียงปรบมือดังกระหึ่มก็ตามมาในอีกเพียงไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น เมื่อกระบี่แสงสองด้านของเรย์ส่งแสงสีแดงสว่างวาบขึ้น แฟนๆ พากันกระทืบเท้า ข้อความมากมายถูกกระหน่ำทวีต ผู้กอบกู้ของแกแล็กซีอันไกลโพ้น จะหันเข้าสู่ด้านมืดเหรอ?
“มันโคตรน่าทึ่งเลย” เดซี ริดลีย์ ผู้รับบทเรย์ พูดเหมือนจะบอกคำตอบออกมา แต่ก็ไม่ได้มีอะไรที่เฉพาะเจาะจงดังจากปากของเธอมากกว่านี้ แถมดูเธอยังมึนๆ กับความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นในงาน เมื่อดาร์ธ เรย์เผยตัวออกมาต่อสาธารณะเป็นครั้งแรก แต่ท้ายที่สุดเธอก็สามารถพูดถึงช่วงเวลาที่ถูกเก็บเป็นความลับสุดยอดออกมาได้
“ฉันมีเรื่องราวน่าทึ่ง ที่เต็มไปด้วยอารมณ์” เธอพูดขึ้นมา “แต่ตอนที่ดาร์ธ เรย์ถูกพูดขึ้นมา ฉันรู้สึกราวกับ… ‘มันฟังดูน่าตื่นเต้นดีนะ’ การได้ทำอะไรที่แตกต่างไปจากเดิมแม้เพียงเล็กน้อย มันก็เป็นเรื่องที่สนุกดี”
แล้วคนดนดูจะช็อคกับความเป็นไปของเรย์ใน The Rise of Skywalker ไหม? “หนัง Star Wars ทั้งหมดเป็นเรื่องของความดีและความเลว” เธอตอบ “กับตัวละครทุกๆ ตัว คุณจะได้เห็นการดิ้นรนต่อสู้บางอย่าง แล้วในทางหนึ่งก็ไม่ เพราะมันเป็นเรื่องมนุษย์ปุถุชนมากๆ สำหรับการได้เห็นใครบางคนต่อสู้กับสองสิ่งที่อยู่ภายในตัว ซึ่งสามารถลากพวกเขาไปได้ทั้งสองทาง ถ้าคุณเข้าใจว่าเพราะอะไร? ทำไม? ใครบางคนถึงกำลังเดินทางอยู่บนเส้นทางสายนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่า คุณก็กำลังเดินทางอยู่เช่นเดียวกัน เพราะงั้น หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คุณจะต้องช็อค แต่เป็นไปในทางที่สนุก แล้วก็ยังมีอารมณ์ร่วมกับเธอ”
คุณก็หวังจากริดลีย์ได้ไม่ต่างจากที่หวังกับเจไดที่ผ่านการฝึก นับตั้งแต่เรื่องราวของ Star Wars เริ่มต้นขึ้นโดยย้อนไปได้ถึงตั้งแต่ปี 1977 เมื่อโลกได้เห็นโอบี-วัน เคโนบี นั่งลงอธิบายถึงเรื่องวิถีแห่งพลังให้ลุค สกายวอลเกอร์ในวัยหนุ่มได้ฟัง และเรื่องราวต่อจากนั้นก็ว่าด้วยเรื่องเดียว ‘สมดุลย์’ – การต่อสู้ที่ไม่วันจบสิ้นระหว่างความดีและความเลวกำลังมาถึงตอนจบ The Force Awakens ยังคงสานต่อธีมนี้ ฉากเปิดที่ลอร์ ซาน เท็คคา ผู้ลึกลับของแม็กซ์ ฟอน ซีโดว์ มอบแผนที่ซึ่งนำไปสู่ลุคเป็นของขวัญให้กับโพ ดาเมรอน “นี่จะเป็นการเริ่มต้นสร้างสิ่งต่างๆ ให้ถูกต้อง” เขากล่าว “หากปราศจากเจได ก็ไม่สามารถมีความสมดุลย์ในเรื่องพลัง”
“เราจงใจเริ่ม Episode VII ด้วยคำพูดนั้น” เจ.เจ. เอบรามส์ ผู้กำกับที่ได้ชื่อว่าเป็นคนที่ชอบเสนอกล่องลึกลับ พูดในเชิงปริศนา “ความหวังก็คือหนังเรื่องนั้นจะเดินเรื่อง ซึ่งท้ายที่สุดตัวละครเหล่านี้จะจัดการกับเรื่องที่หนัง Eposide I ไล่มาเรื่อยถึง Episode VI ยังไม่เคยเปิดเผย หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนัง Episode IX จะเติมเต็มสิ่งเหล่านั้น”
ออสการ์ ไอแซ็ค หรือโพ ดาเมรอนของหนังไตรภาคใหม่ เปิดเผยอะไรให้รู้มากขึ้นนิดหน่อย “สิ่งที่น่าทึ่งในเรื่องและบทก็คือ คุณจะได้รู้ว่าทั้งซิธและเจไดต่างก็เล่นเกมยาวกันมานานมาก” เขาบอก แล้วก็ค่อยงอตัวลงไปกับเบาะ ปอยผมของเขาตั้งตรง “จากเรื่องราวแบบรู้-แล้วก็ไปต่อ หนังมันจะเหมือนกับเกมหมากรุก หมากทุกตัวจะถูกเล่น และตอนนี้เราก็จะได้รู้ว่าใครที่รุกฆาต”
เหนือสิ่งอื่นใด เราใกล้ถึงเรื่องราวสุดท้ายนี้มาพักใหญ่แล้ว อย่างที่ชื่อหนังตอนที่แปดบอกเอาไว้เป็นนัยๆ ถึงจุดจบของพวกเจไดโบราณ หนังเรื่องนั้นเป็นหนังเรื่องเดียวในไตรภาคนี้ ที่ไม่ได้กำกับโดยเจ.เจ. เอบรามส์ ไรแอน จอห์นสันคือคนกระตุกบังเหียนพา The Last Jedi ที่ออกฉายเมื่อสองปีก่อนไปข้างหน้า ด้วยการแสดงให้เห็นถึงความแตกแยกครั้งมโหฬาร ที่กลายเป็นการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ที่เกิดขึ้นกับผู้สืบทอดของสกายวอลเกอร์ บางคนยังมองไปถึงว่า เรื่องราวของจอห์นสัน อาจจะเปลี่ยนแปลงทิศทางของ Episode IX แต่เอบรามส์ที่รับประกันหมั่นเหมาะว่า มีแผน ‘คร่าวๆ’ สำหรับหนังทั้งสามเรื่องไว้แล้ว เสริมว่า “ไม่มีอะไรที่ไรแอนทำ แล้วเป็นการไม่ได้ทำในสิ่งที่ผมคิดเอาไว้เกิดขึ้น”
เอบรามส์ยังเผยด้วยว่า เขาไม่เคยคิด หรือถูกวางไว้ให้กำกับ The Rise of Skywalker โคลิน เทรวอร์โรว์ ที่สร้างชื่อมาจาก Jurassic World ต่างหากที่ตอนแรกได้รับการคาดหมายไว้ ให้เป็นคนจบเรื่องราวที่มีขนาดมหึมาพอๆ กับดาวมรณะ แต่อย่างไรก็ตามหลังจากความคิดในการสร้างสรรค์ที่แตกต่างกับแคธลีน เคนเนดี หัวเรือใหญ่ของลูคัสฟิล์ม เทรวอร์โรว์ก็ต้องออกไป ปล่อยเก้าอี้นักบินที่ว่างเปล่าเอาไว้เบื้องหลัง โดยมีไม่กี่คนหรอกที่น่าเชื่อใจให้มารับผิดชอบกับงานที่หนักหนาสาหัสชิ้นนี้ และคำถามก็คือ… เอบรามส์อยากจะกลับมาไหม?
“การได้กลับมาปิดฉากไม่ใช่แค่หนังไตรภาคนี้ แต่เป็นไตรภาคใหญ่ทั้งหมด เป็นเรื่องที่ยั่วยวนมากๆ” เขากล่าว “การกลับมา มันก็คือการเริ่มต้นใหม่ เพราะผมไม่ใช่คนหน้าใหม่สำหรับโลกใบนี้ แคธีรู้ว่ามีความรู้สึกบางอย่างที่บ่งบอกว่าเรื่องราวเหล่านี้น่าจะไปทางไหน ในทางหนึ่งมันก็คือการได้รับโอกาสที่สอง เพื่อกลับมาทำบางอย่างที่คุณคิดว่าตัวเองเคยเอามันไปเก็บไว้ข้างหลัง”
การจบเรื่องราวของหนังระดับนี้มาพร้อมกับความท้าทายอย่างที่สุด “การจบไตรภาคนี้ ที่เป็นการจบไตรภาคทั้งหมด เป็นเรื่องยุ่งยากมากๆ” เขากล่าวต่อ ด้วยนำ้เสียงเรียบๆ “หนังเรื่องนี้ทำงานด้วยตัวมันเอง มันมีจุดเริ่มต้น-กลางเรื่อง และจุดจบของตัวเอง มันไม่สามารถสร้างความผิดพลาดให้เกิดขึ้นมากมายต่อเนื่อง ว่าตรงไหนตัวละครจะได้รับความรัก ตอนไหนของหนังที่จะต้องเป็นความทุกข์ เพราะจู่ๆ ตัวละครก็เกิดขาดอะไรบางอย่าง เราไม่สามารถทึกทักเอาเองได้ว่ามีใครสนใจ”
หลังจากล้างไพ่ทุกอย่างเรียบร้อย พร้อมกับเลื่อนวันฉายจากเดือนพฤษภาคม ไปเป็นเดือนธันวาคม ในที่สุด The Rise of Skywalker ก็เริ่มเข้ารูปเข้ารอย เอบรามส์ทำกับเรื่องราวของหนังเหมือนเป็น “สิ่งที่มีชีวิต มีลมหายใจ” คิด-วิเคราะห์ไอเดียต่างๆ เพื่อหาให้ได้ว่า โดยธรรมชาติในตัวมันเองแล้ว หนัง Episode IX จะเดินไปทางไหน “หนังเรื่องนี้ต้องเกิดสงคราม ที่ยุติสงครามทั้งหลายทั้งปวง” เขาบอก “หนังเรื่องนี้ต้องมีการศึกครั้งใหญ่ ซึ่งไม่ใช่แค่ศึกภายใน แต่ยังเป็นสงครามภายใน สำหรับตัวละครอีกด้วย ใน Episode VII พวกเขาเพิ่งได้พบกัน โดยเกือบจะต้องแยกจากกันทั้งเรื่องอยู่แล้ว หนังเรื่องนี้จะเป็นครั้งแรกที่คุณจะได้เห็นคนเหล่านี้ คนที่เป็นเพื่อนกัน ร่วมผจญภัยไปด้วยกัน โดยยังมีความท้าทายครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นการต่อต้านบางอย่างที่เป็นการคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุด บรรดาตัวละครหน้าใหม่เหล่านี้ จะรับมือไหวไหม? สำหรับผมนั่นคือนิยามความรู้สึกในแบบ Star Wars”
ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจที่ได้รู้ว่า เอบรามส์ต้องมองย้อนกลับไปเพื่อที่จะพาเรื่องราวไปข้างหน้า การทำหนังเรื่องหนึ่งให้ประสบความสำเร็จก็เป็นเรื่องยากอยู่แล้ว การทำหนังเรื่องหนึ่งเพื่อสรุปเรื่องราวที่ถูกเล่ามากว่า 40 ปียิ่งเป็นเรื่องที่ยากกว่า ถึงกระนั้นก็มีคนที่สามารถช่วยให้เขานำทุกสิ่งมารวมไว้ด้วยกันได้ คนที่เป็นกุญแจสำคัญสำหรับทุกอย่างของหนังเรื่องนี้ – จอร์จ ลูคัส ซึ่งเอบรามส์ถึงกับนัดประชุมสำคัญด้วยระหว่างที่กำลังเตรียมงาน
“เขามีอะไรมากมายที่จะบอกถึงเรื่องธรรมชาติของพลัง ธีมที่เขาคิดเอาไว้ตอนที่เขียนเรื่องราวของหนัง” เอบรามส์เผย “ใช่ มีการพูดคุยกันถึงเรื่องมิดิ-คลอเรียนส์ เขารักพวกมิดิ-คลอเรียนส์ และมันก็เป็นสิ่งที่ช่วยได้มาก การได้นั่งอยู่กับเขาเหมือนเป็นการฟังบรรยาย แค่ได้ฟังเขาพูดก็สุดๆ แล้ว เพราะเขาเนี่ยคือ จอร์จ ลูคัส ที่กำลังพูดถึงเรื่องราวของ Star Wars ผมรู้สึกราวกับได้รับของขวัญเสมอเวลาที่ได้ฟังเขาพูดถึงเรื่องเหล่านั้น เพราะผลกระทบที่เขามีต่อผลในตอนสิบขวบ มันลึกซึ้งอย่างที่สุด”
เอบรามส์เลี่ยงที่จะเผยวิสัยทัศน์ของลูคัส ที่ทำให้เขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งใน The Rise of Skywalker แต่อย่างไรก็ตาม มีใครบางคนที่อาจจะรู้ คนๆ นั้นก็คือ แอนโธนี แดเนียลส์ ที่รับบทเป็นซี-ธรีพีโอ นักแสดงคนเดียวที่ปรากฏตัวในหนัง Star Wars ทุกเรื่องมาจนถึงทุกวันนี้ กระทั่งใน Solo ที่เขารับบทเป็นตัวละครมนุษย์ชื่อ แท็ค ลูคัสเคยเล่าเรื่องแผนของเขาให้ฟังไหม? “ไม่เลย” แดเนียลส์พูดออกมาอย่างหนักแน่น “ผมไม่ใช่คนที่อยู่ในสายตาของเขา สำหรับเรื่องแบบนั้น”
แต่ถึงจะไม่สามารถพูดคุยถึงสิ่งที่เขาไม่รู้ แดเนียลส์ก็ได้รับอิสระมากพอที่จะบอกเล่าความลับเรื่องตาสีแดงของซี-ธรีพีโอ ที่เห็นในหนังตัวอย่างซึ่งเปิดตัวกันในงานดี23 “มันทำให้ผมถึงกับช็อค ตอนที่สวมหัวเลยนะ เพราะมันไม่เหมือนการเป็นซี-ธรีพีโออย่างที่เคย” เขาเล่า “เป็นสิ่งที่ทำให้ผมกลัวขึ้นมาเลย กับการที่แค่เปลี่ยนสีก็ทำให้เขาดูแตกต่างได้ขนาดนั้น เป็นเรื่องที่ประหลาดมาก แล้วก็ไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไหร่ด้วย”
แดเนียลส์ยังเผยเป็นนัยๆ ว่าหุ่นดรอยด์ที่ใครๆ ก็รักของเขาจะมีบทบาทสำคัญใน The Rise of Skywalker มากกกว่าใน The Force Awakens หรือว่า The Last Jedi “ใน Episode VII เจ.เจ. มีหลายสิ่งหลายอย่างที่นำมาเล่าหรือสร้างใหม่ หลักๆ ของซี-ธรีพีโอก็คือแขนสีแดง ซึ่งพวกเราไม่ชอบกันเลย แล้วก็บอกกับเขาไปตรงๆ ว่า เราไม่ชอบนะ” เขาบอก ด้วยการสันนิษฐานที่พูดถึงตัวเองและซี-ธรีพีโอ ในแบบเดียวกับกอลลัม/ สมีโกล “แล้วใน The Last Jedi ซี-ธรีพีโอค่อนข้างจะเหมือนเครื่องประดับที่ถูกวางไว้ที่ไหนสักแห่ง เพราะฉะนั้นผมเลยเตรียมตัวที่จะเป็นตัวประกอบอีกครั้ง สำหรับซี-ธรีพีโอ ในฐานะตัวละครที่ผมรัก ถ้าเขาได้เข้าโรงหนัง แล้วไปดูตัวเองในหนังเรื่องเรื่องนี้ ที่เป็นเรื่องสุดท้าย ผมคิดว่าเขาน่าจะพึงพอใจนะ และผมจะปล่อยเขาไว้แบบนั้นนั่นแหละ”
อีกหนึ่งใบหน้าที่คุ้นเคยจากหนังไตรภาคต้นฉบับก็คือ บิลลี ดี วิลเลียมส์ ซึ่งปรากฏตัวครั้งสุดท้ายในหนังจอใหญ่ ด้วยการรับบทแลนโด คาลริสเชียน ใน Return of the Jedi “ผมไม่เคยคิดว่าจะถูกเรียกมาเล่นเป็นแลนโดอีกนะ” วิลเลียมส์ พูดออกมาอย่างช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ สมกับเป็นคำพูดที่ออกมาจากปากของตัวแสบที่เนี้ยบที่สุดในแกแล็กซี “ผมคิดว่า ตัวเองได้ทำอะไรที่อยากทำกับแลนโดไปแล้ว และผมว่ามันก็ใช้ได้นะ ซึ่งมันก็ผ่านมาตั้ง 40 ปี แต่พอเจ.เจ. โทรมาหาแล้วถามผมว่าอยากมีส่วนร่วมกับหนังไหม ผมก็มองไปถึงอนาคตของตัวละครรายนี้เลย” วิลเลียมส์เสริมอีกด้วยว่า “บางทีมีอะไรนิดหน่อยๆ ที่ลึกซึ้งมากกว่าที่เราเคยเห็น” กับการที่แลนโดได้มาปรากฏตัวในหนังเรื่องนี้ แต่เขาก็ไมสามารถลงลึกไปถึงรายละเอียด เนื่องจากไม่อยากโดนคำสั่งสายฟ้าฟาดจากดิสนีย์ที่ขึ้นชื่อลือชานักหนาในเรื่องทำนองนี้ ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าเอียน แม็คดอร์มิด ที่กลับมารับบทพัลพาไทน์ ก็ถูกเก็บตัวจากการออกสื่อด้วยเหตุผลเดียวกัน
ตัวร้ายที่อยู่ใต้ผ้าคลุม ได้เห็นกันเป็นครั้งสุดท้ายก็ตอนที่หล่นลงไปในเตาปฏิกรณ์ของดาวมรณะดวงที่สอง จะมาปรากฏตัวในหนังเรื่องนี้ได้ยังไงยังคงเป็นความลับดำมืด และไม่มีใคร ไม่ใช่ออสการ์ ไอแซ็ค, ไม่ใช่เดซี ริดลีย์ และแน่นอนว่าต้องไม่ใช่บิลลี ดี คนที่ปิดปากเงียบที่สุด ยินดีแสดงความเห็นออกมา เนื่องจากกลัวว่าจะเผยความลับของหนัง แต่คำใบ้ที่ชัดเจนที่สุดมาจากเอบรามส์ ที่บอกมาว่าเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวตรงนี้ จะขึ้นอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้า “พูดถึงเรื่องการดึงตัวละครเก่าๆ กลับมา มันเกิดจากการได้ดูหนังทั้งเก้าเรื่องแล้วพบว่าเรื่องราวเหล่านั้นกำลังบอกอะไรกับเรา” เอบรามส์ อธิบาย “มันเป็นอีกเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ต่อให้มีใครพูดขึ้นมาว่า ‘อย่าเอาพัลพาไทน์กลับมานะ มันไม่ใช่ความคิดดั้งเดิม’ ผมก็อยากจะบอกว่า ถ้าคุณมองเรื่องราวที่หนังเล่ามาตลอด เขาเป็นส่วนหนึ่งของมันนั่นแหละ และเป็นส่วนหนึ่งในภาพรวมของเรื่องด้วย ทุกสิ่งอย่างที่คุณต้องการ มันก็อยู่ในหนังอยู่แล้วละ”
อีกหนึ่งตัวละครกุญแจสำคัญที่เอบรามส์ไม่สามารถสานต่อเรื่องราวได้ถ้าไม่มี ก็คือนายพลเลอา ที่เล่นโดยแคร์รี ฟิเชอร์ ซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อ 27 ธันวาคม 2016 หนึ่งปีก่อนหนัง The Rise of Skywalker ออกฉายพอดิบพอดี และการปรากฏตัวของเธอในหนังก็ต้องปรับมาใช้ฟุตเตจที่ไม่ถูกใช้ในหนัง Episode VII แทน “เรารู้ดีว่า ไม่มีทางเล่าเรื่องราวตอนจบของพวกสกายวอลเกอร์ได้โดยปราศจากเธอ” เอบรามส์ บอก “มันเป็นเรื่องที่แปลกมาก เพราะว่าผมเป็นคนที่ทำงานในห้องตัดต่อทุกวัน เธอก็เลยเหมือนยังมีชีวิตอยู่ในหนัง”
การใช้ฟุตเตจจาก The Force Awakens แทบจะเป็นการต่อปริศนาเข้าด้วยกัน เอบรามส์ต้องเขียนบทจากวัตถุดิบที่พวกเขามีอยู่ในมือ โดยไม่ตัดสินใจใช้เลอาฉบับซีจีไอ เหมือนที่เห็นใน Rogue One หรือหาคนมาเล่นบทนี้แทน ซึ่งเป็นสิ่งที่เอบรามส์บอกว่า เป็นคำแนะนำจากบางคนในระดับสูง แต่ไม่เคยถูกนำมาพิจารณาโดยทีมสร้างสรรค์ของลูคัสฟิล์ม “มีหลายๆ ฉากที่เธอต้องโต้ตอบกับตัวละครอื่นๆ ในแบบที่ไม่ธรรมดา” เขาเล่าต่อ “หวังไว้ว่า ถ้ามันใช้ได้ มันจะเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเห็น และถ้าคุณไม่รู้ คุณก็จะไม่มีทางรู้เลย แต่พวกเราอยากเล่าเรื่องด้วยเลอา ซึ่งเราจะเล่าโดยแคร์รีที่ยังมีชีวิต ที่กลายเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อมากๆ”
ไอแซ็คที่ทำงานอย่างใกล้ชิดกับฟิเชอร์ บอกว่าการไม่มีเธออยู่ในกองถ่ายของหนังเรื่องสุดท้ายในไตรภาค ทำให้การทำงานเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างไปจากเดิม “สำหรับผม เธอเป็นส่วนหนึ่งของความสนุกในการทำหนังเรื่องนี้” เขาเล่าถึงวันวาน “มันเป็นเรื่องความจริงใจของเธอ เธอไม่มีการแสแสร้ง หรือมาตั้งแง่อะไร เธอเป็นคนที่แสนมหัศจรรย์ในยามที่อยู่ใกล้ๆ ผมรักเธอมากนะ คุณน่าจะรู้สึกถึงการขาดหายไปของเธอ”
เลอา, ซี-ธรีพีโอ, แลนโด, พัลพาไทน์, ชิวเบ็คกา (ที่เล่นโดนจูนาส ซูโอโทโม) และลุค สกายวอลเกอร์ (ที่มาร์ค แฮมิลล์ได้รับการยืนยันว่ากลับมารับบทนี้อีกครั้ง แต่น่าจะเป็นในฐานะวิญญาณของพลัง) บวกกับเรย์, โพ, ฟินน์ (จอห์น โบเยกา) และไคโล เรน (อดัม ไดรเวอร์) ล้วนกลับมาทำให้ไตรภาคของตัวเองสมบูรณ์ คุณอาจจะคิดว่า The Rise of Skywlaker ไม่น่าจะมีเวลาและพื้นที่มากพอในการแนะนำหน้าใหม่ๆ ให้กับจักรวาลของ Star Wars ถ้าคิดแบบนั้นอยู่ กรุณาคิดใหม่ เพราะหนังเรื่องนี้จะเป็นหนัง Star Wars ที่ยาวที่สุดมาถึงตอนนี้ โดยมีรายงานว่า หนังน่าจะขึ้นจอด้วยความยาวถึง 155 นาที และเอบรามส์ก็จะเติมเวลาอันมีค่าเหล่านี้ด้วยบรรดาตัวละครหน้าใหม่อีกหลายราย ซึ่งรวมไปถึงศิษย์เก่าจากหนังชุด The Lord of the Rings – โดมินิค โมนาก์แฮน ในบทนักบินเครื่องขับไล่คนใหม่ของฝ่ายต่อต้าน และริชาร์ด อี. แกรนท์ ที่เพิ่งเข้าชิงออสการ์มาหมาดๆ เมื่อต้นปี ที่จะเล่นเป็นนายพลพรายด์ผู้เฉียบขาดแห่งฝ่ายปฐมภาคี ซึ่งรายละเอียดของทั้งสองบทล้วนถูกอุบไต๋เงียบไม่มีแผลมออกมาให้รับรู้
หากก็มีหน้าใหม่ของหนังที่สามารถพูดคุยกับสื่อได้ อย่าง เครี รัสเซลล์ ที่เคยร่วมงานกับเจ.เจ. เอบรามส์มาแล้วก่อนหน้านี้ ใน Mission: Impossible III เธอจะรับบทเป็น ซอรี บลิสส์ ใน The Rise of Skywalker ซึ่งแน่นอนว่ามีรายละเอียดของตัวละครรายนี้ให้รับรู้น้อยมาก ที่พอจะบอกได้ก็แค่ เธอจะสวมชุดสีแดงเตะตา สวมหมวกไวเซอร์ที่ออกแบบอย่างสวยงาม แล้วเธอก็บอกด้วยว่า ดาวเคราะห์คิจิมิ ที่แห้งแล้งและปกคลุมไปด้วยหิมะคือบ้านของเธอ “เครื่องแต่งกายของเธอบอกอะไรเกี่ยวกับตัวเธอไว้เยอะนะ” รัสเซลล์บอก “ด้วยการออกแบบ ที่ไม่เผยผิวให้เห็นเลย เธอเป็นพวกผู้รอดตาย ถ้าคุณไม่ได้อยู่ในกลุ่มของพวกต่อต้านหรือไม่อยู่ในด้านมืด มันก็มีอีกโลกหนึ่งให้ได้ใช้ชีวิตรอด คุณต้องทำอะไรที่อยากทำเพื่อให้ชีวิตดำเนินต่อไปเหมือนที่ฮัน โซโลทำ” ฟังๆ ดูเธอเหมือนกับเป็นโบบา เฟ็ทท์เวอร์ชันผู้หญิง “ฉันไม่สามารถปฏิเสธหรือพูดอะไรได้” เธอแสดงความเห็นต่อการเปรียบเทียบดังกล่าว “แต่…. มันน่าสนใจนะ”
ไอแซ็คเผยออกมาเป็นนัยๆ ด้วยว่าโพกับซอรี อาจจะมีความสัมพันธ์ที่คุ้นเคย รัสเซลล์เพลย์เซฟด้วยการบอกว่า ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น แต่ไอแซ็คกลับมีลูกเล่นมากกว่า เมื่อถูกถามว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นเรื่องโรแมนติคใช่ไหม “เอ่อ… ทุกๆ ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นกับโพ มีองค์ประกอบทางเพศอยู่ด้วย มันก็แค่วิถีที่เป็นไปในอีกรูปแบบหนึ่ง แต่กับเธอ คุณสามารถสัมผัสถึงบางสิ่งที่เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงและมีความเจ็บปวดบางอย่างอยู่ในหนังได้ทันที ใช่… คุณจะรู้ว่านี่คือใครบางคนจากอดีตของโพ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในชีวิตเขา”
ท้ายที่สุดกับคนหน้าใหม่แถวหน้าที่ถูกเสริมเข้ามา ก็คือ นาโอมิ แอคกี ที่มารับบทเป็นนักรบของฝ่ายต่อต้าน – แจนนาห์ “เธอมีเรื่องราวแต่หนหลัง ซึ่งนั่นหมายความว่ามีอะไรเยอะแยะที่ต้องเดิมพัน” เธอบอก “และมันก็ทำให้เธอต้องไปเกี่ยวข้องกับการลุกฮือของพวกต่อต้านในรูปแบบเฉพาะตัว เธอเป็นผู้หญิงที่ปรากฏตัวเพื่อภารกิจบางอย่าง” มีการคาดกันว่าแจนนาห์อาจจะเป็นลูกสาวของแลนโด ซึ่งแอคกีบอกว่า “มันตลกดี” แต่… แน่นอน อย่างเพิ่งไปจำเพาะเจาะจงอะไรกันมาก “มันมีอะไรที่เป็นความลับมากๆ” เธอหัวเราะ “ตอนที่ฉันเข้ามาทดสอบบทหนแรก มันบอกว่าเป็น โปรเจ็คท์ของดิสนีย์ที่ยังไม่มีชื่อ” เธอเสริมด้วยว่า ตลอดทั้งเรื่องตัวละครแต่ละรายต่างก็มี “ความเชื่อมโยงกับด้านมืดในวิธีการใหม่ๆ มันเป็นการตั้งคำถามเฉพาะตัวในแต่ละบุคคล ‘คุณยินดีที่จะต่อสู้เพื่อความดีที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน?’”
มีคนหนึ่งที่พร้อมจะเสี่ยงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีเพื่อฝ่ายต่อต้าน นั่นก็คือ โรส ทิโค ซึ่งได้เคลลี มารี แทนมาเล่น ซึ่งเป็นการกลับมารับบทที่ถูกเปิดตัวใน The Last Jedi ในตอนเริ่มเรื่องของ The Rise of Skywalker ขณะที่ฝ่ายต่อต้านอาจจะอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ โรสดูหมือนจะเป็นคนที่รับบทผู้นำในช่วงเวลาแบบนี้ แต่ครั้งสุดท้ายที่เราได้เห็นก็คือเธอจากไปหลังได้จุมพิตฟินน์ “คนกำลังดูว่า เราจะพัฒนากันต่อไปได้ยังไง ซึ่งมันน่าสนใจนะ” ทรานพูดถึงตัวละครของเธอและโบเยกา โชคไม่ดีที่เรื่องความรักและตัวละครโรส ไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีนักของทุกพื้นที่ในอาณาจักรแฟนๆ Star Wars และทำให้ทรานเจอกับการคุกคามในโลกออนไลน์ จนเธอต้องเลิกเล่นโซเชียล มีเดียไป
“ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม… อาจจะฟังดูบ้าๆ บอๆ นะ มันก็ทำให้เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ที่ดีกว่าที่เห็น” เธอบอก โดยสะท้อนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต “เพราะมันสอนให้ฉันรู้ว่า จะสร้างขอบเขตขึ้นมายังไง และจะปกป้องตัวเองแบบไหน และจะก้าวต่อไปได้อย่างไร ในวิธีการที่เป็นการสร้างความศักยภาพให้กับตัวเอง เวลาคุณเจอกับอะไรแบบนี้ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่ากลัว แล้วได้เรียนรู้ว่า ฉันก็มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมและเป็นคนที่รับมือกันอะไรแบบนี้ได้ โดยไม่ต้องไปสนใจอะไรที่ใครก็ไม่รู้พูดถึงฉัน มันเป็นการค้นพบที่เจ๋งมากๆ”
สิ่งหนึ่งที่ช่วยได้ก็คือการได้สนิทสนมกับคนอย่างริดลีย์และโบเยกา ซึ่งเจอประสบการณ์คล้ายๆ กันมาก่อน “เราทุกคนพบเครือข่ายที่ให้การสนับสนุนในกันและกัน” ทราน เสริม “และฉันคิดว่า นั่นเป็นสิ่งที่พิเศษๆ มากๆ”
ในเรื่องของการทำงาน ริดลีย์พูดถึงความรู้สึกของการแสดงแบบด้นสดใน The Rise of the Skywalker ซึ่งดูเป็นเรื่องแปลกๆ เพราะนี่คือหนังบล็อคบัสเตอร์จากสตูดิโอ แต่กลับทำงานในแบบเดียวกับที่หนังทั่วๆ ไปเรื่องหนึ่งเป็น “กับเจ.เจ. ฉันไม่รู้บทพูดของตัวละครเลยจนกระทั่งถึงวันถ่ายทำ เพราะมันจะเปลี่ยนแปลงตลอด” เธอเล่า โบเยกาก็เสริมด้วยว่า บทของ Episode IX มีการเปลี่ยนแปลงมากกว่าหนังตอนอื่นๆ “จริงๆ แล้วผมไม่รู้อะไรเลยด้วยซ้ำ” เขาพูดถึงสิ่งที่จะได้เห็นหลังจากการตัดต่อฉบับสุดท้ายเสร็จสิ้น “ผมรู้แค่ว่า มันจะกลายเป็นหนังมหากาพย์ แต่กับเรื่องนี้มันเป็นงานที่ยากจะแกะรอย”
เอบรามส์ยอมรับว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมชาติของภาพยนตร์ แล้วก็ย้ำด้วยว่า ในคราวนี้เขารู้สึกมั่นใจมากขึ้นกับการพยายามลองอะไรใหม่ๆ “กับหนังเรื่องนี้ ผมจะปล่อยให้ตัวเอง… อย่างน้อยที่สุด อยู่ในสภาพที่เสนอสิ่งต่างๆ ได้อย่างเป็นอิสระมากขึ้น” เขากล่าว “ใน Episode VII ผมยึดมั่นกับการนำเสนออะไรที่รู้สึกว่าใช่ สำหรับ Star Wars ที่อยู่ในหัว มันเป็นเรื่องของการหาภาษาภาพ อย่างการถ่ายทำในสถานที่จริง แล้วทำทุกอย่างขึ้นมาตรงนั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเราก็สานต่ออะไรแบบนั้นใน Episode IX แต่ผมก็พบว่าตัวเองทำอะไรที่ไม่แน่ใจว่า ควรจะทำดีไหมตอนที่ทำ Episode VII”
ฟังๆ ดูเหมือนเป็นการรับไม้ต่อจากไรแอน จอห์นสัน ที่ The Last Jedi ภายใต้การดูแลของเขา คือลมหายใจใหม่ๆ ในจักรวาลของ Star Wars “ไรแอนช่วยย้ำเตือนผมว่า นั่นคือสาเหตุที่เรามาทำหนังเหล่านี้ ไม่ใช่ทำในสิ่งที่คุณเคยเห็นมาก่อน” เอบรามส์ บอก “ผมไม่อยากบอกว่าผมรู้สึกเหมือนถูกตีกรอบ หรือมีขีดจำกัดใน Episode VII แต่ผมพบว่าตัวเองอยากทำสิ่งที่สืบเนื่องกับไตรภาคต้นฉบับมากกว่า และใน Episode IX ผมก็พบว่าตัวเอง รู้สึกแบบ… ฉันอยากไปต่อให้มากขึ้นอีกสักหน่อย”
เอบรามส์แย้มอีกว่า เขาสร้าง “ตัวเลือกที่ทั้งน่าประหลาดใจและโดดเด่นเอาไว้ในเรื่อง ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้หนังยังคงเชื่อมต่อกับหนังทั้ง 8 เรื่องก่อนหน้านี้ได้ “ผมไม่อยากให้คนที่ดูหนังเรื่องนี้ แล้วบอกว่า ‘นั่นมันเพี้ยนมาก’ แต่ถ้าคุณไม่ได้ทำในสิ่งที่ช็อคผู้ชม คุณก็ไม่ได้ไปไหนไกลอย่างที่ควรจะเป็น”
การมีความทะเยอทะยานแบบนั้นกับตอนสุดท้ายของไตรภาคแห่งไตรภาค เป็นความท้าทายที่ทำให้ความต้องการที่เกิดขึ้นกับ Episode VII หายไป “Episode IX ก็แค่ทิ้งห่างแบบไม่เห็นฝุ่น หากมองในเรื่องความทะเยอทะยานของพวกเรา” เอบรามส์พูเด้วยความลิงโลด “แต่ในแง่ของความน่าพอใจ มันมีพอๆ กัน ประสบการณ์จากการทำหนังเรื่องนี้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ทุกๆ คนแสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทในระดับที่ผมไม่เห็นใน Episode VII ทุกคนอยากทำหนังเรื่องนี้ด้วยความภาคภูมิใจ และประสบการณ์ในการกลับมาทำงานกับเรื่องราวเหล่านี้ เพื่อนำมันไปสู่บทสรุป มันเป็นเรื่องเฉพาะตัว และมีความพิเศษมากๆ นับตั้งแต่เริ่มต้น”
แต่ก็อย่างที่พัลพาไทน์บอก หนังเรื่องนี้จบการเดินทางที่เกิดขึ้นจริงๆ เหรอ? แน่นอน แล้วจะมีหนังภาคต่อเรื่องอื่นๆ เกิดขึ้นในอนาคตไหม? ริดลีย์ ยกเอาคำพูดจากลุค สกายวอลเกอร์ ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้จากไป ที่อยู่ในตัวอย่างของ The Rise of Skywalker ซึ่งบางทีอาจจะเป็นคำตอบที่สมบูรณ์แบบที่สุด มาพูดซ้ำ
“นี่คือจุดจบแห่งเรื่องราวของสกายวอลเกอร์” เธอบอก “พอหนังออกฉาย พวกเราทุกคนก็แยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง ฉันหมายถึง ตอนนี้นะ ที่มันเป็นจุดจบของเรื่องราว แต่ใครจะไปรู้จริงไหม?” เธอยิ้ม “เพราะไม่มีอะไรที่จบลงจริงๆ หรอก”
โดย ฉัตรเกล้า เรื่อง เรื่องราวสุดท้ายในไตรภาคของแกแล็กซีที่อยู่ไกลโพ้น STAR WARS: THE RISE OF SKYWALKER นิตยสารเอนเตอร์เทน ฉบับที่ 1294 ปักษ์หลัง 2562