ในเรื่องเล่าขานถึงตำนานของ Nirvana วงดนตรีของเคิร์ท โคเบน, คริส โนโวเซลิค และเดฟ โกรห์ล มักต้องการให้วงถูกมองว่า สร้างความเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ให้เกิดขึ้นกับรสนิยมในการฟังเพลง ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่มีความหมายสักเท่าไหร่ นอกจากการย้ำกันบ่อยๆ ว่าอัลบัม Nevermind น็อคอัลบัม Dangerous ของไมเคิล แจ็คสันหล่นจากอันดับหนึ่งของชาร์ทอัลบัม ราวกับอัลบัมชุดนี้ไม่มียอดขายเกิดขึ้นเลยจนถึงวันที่เคิร์ท โคเบนกับเพื่อนพ้องปรากฏตัว นั่นคือสิ่งที่ชัค เอ็ดดีแห่ง Spin.com แสดงความเห็นเอาไว้
โดยเขายังบอกอีกว่า นี่ไม่ใช่เรื่องเล่าเกี่ยวกับเนอร์วานาเรื่องเดียว ที่ถูกเล่าต่อๆ กันมา ยังมีอีกเรื่องที่บอกว่าเนอร์วานาและดนตรีกรันจ์โดยรวมๆ เป็นผู้ที่กวาดหนุ่มๆ ที่ไว้ผมยาวสลวยหรือฟูฟ่องสะพายกีตาร์สีชมพูและร้องเพลงบัลลาด ออกไปจากโลกในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน
แต่หากมองย้อนกลับไป ในตอนที่ Nevermind ขึ้นเถลิงบัลลังก์ในเดือนตุลาคม 1991 วงแฮร์แบนด์หรือแฮร์เมทัลตามแต่จะเรียกขานกัน ล้วนหายหน้าหายตาไปเรียบร้อยแล้ว
วงแกลมผมยาวหยิกหยองเช็ดมาสคาราและพยายามเผยด้านที่จริงจังก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำ เห็นได้จากอัลบัม Heartbreak Station ของ Cinderella ในปี 1990 ที่เป็นอัลบัมบลูส์-ร็อคแท้ๆ, Slave tho the Grind ของ Skid Row ที่ออกมาในเดือนมิถุนายน 1991 ก็สร้างความตกตะลึงไปทั่ว ด้วยการขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ทโดยไม่มีซิงเกิลฮิต
บรรดาวงฮาร์ดร็อคที่ทำเพลงโจ๊ะๆ ออกมาจะว่าไปแล้วค่อยๆ ทะยอยหายหน้าหายตาไปตั้งแต่ Guns N’ Roses และ the Cult สร้างชื่อโด่งดังขึ้นมาในช่วงปี ’88 รวมไปถึงตอนที่อัลบัมแรกของ Black Crowes ขึ้นถึงอันดับ 4 ในปี 1990
ตอนเปลี่ยนทศวรรษ กระทั่งวงเมทัลที่แจ้งเกิดสำเร็จก็ยังมาพร้อมกับความโดดเด่นเฉพาะตัวที่แตกต่าง Living Colour วงร็อคผิวดำจากแมนฮัททันนำโดยมือกีตาร์ที่อัดแน่นไปด้วยอิทธิพลของดนตรีแจ๊ซซ์, วงร็อคหัวโล้นจากฮุสตัน King’s X นำโดยมือเบสเกย์ผิวดำและเคร่งศาสนา – ดัก พินนิค, หนุ่มๆ ซาวซานฟรานซิสโกที่เคยเล่นดนตรีโพรเกรสสีฟก็หันมาทำวงแร็ป-พังค์ Faith No More
ที่ชัดเจนยิ่งกว่านั้นก็คือ การเกิดขึ้นของทศวรรษแห่งลอลลาพาลูซา (Lollapalooza) ที่นำโดยวงดนตรีชาวแอลเอ. รุ่นใหม่ที่ค่อยๆ สร้างชื่อขึ้นมา อย่าง Jane’s Addiction ที่อัลบัม Ritual de lo Habitual ของพวกเขาติดท็อปเทนในชาร์ทเมื่อปี 1990
โดยหนึ่งในเพลงร็อคสุดฮิต ปีก่อนหน้าการมาถึงของ “Smells Like Teen Spirit” ก็เป็นเพลงของวงดนตรีที่มาจากซีแอทเทิลเช่นเดียวกับเนอร์วานา “Silent Lucidity” จาก Queensryche ที่เหมือนงานตัดแปะของ Pink Floyd ในแบบที่คิดถึงความสำเร็จไว้ก่อน ด้วยการพุ่งเป้าไปที่แฟนเพลงความรู้น้อย มากกว่าจะทำคอนเส็ปท์อัลบัมที่ว่าด้วยเทคโนโลยี, ทฤษฎีต่างๆ
แล้วอะไรละ ที่เปลี่ยนแปลงหลังการมาถึงของเนอร์วานา? บางที… อาจจะเป็นทรงผม แล้วภายในเวลาสองปีต่อจากนั้นทั้งสถานีวิทยุและเอ็มทีวีก็อัดแน่นไปด้วยวงดนตรีใหม่ ที่ปรับโฉมไปจากเดิมอย่าง Collective Soul, Candlebox, Live และ Silverchair จากนั้นสิ่งต่างๆ ก็เปลี่ยนแปลงไปมากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว เนอร์วานาไม่ได้ทำอะไรกับวงแฮร์แบนด์หรือแฮร์เมทัลเลย พวกเขาตายไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ ควีนส์ไรช์ ออกมา
ชัค เอ็ดดี สรุปไว้ว่าอย่างนั้น
โดย นพปฎล พลศิลป์ จากเรื่อง เรื่องเล่าชาวร็อค จริงหรือเปล่าที่เขาว่ากันว่า Nirvana ฆ่าศิลปินร็อคผมยาว คอลัมน์ ดนตรีมีเหตุ หนังสือพิมพ์ไทยโพสท์ วันที่ 12 มีนาคม 2563