BEAUTIFUL BOY: ถึงพ่อ-แม่จะแยกทางกัน นิค เชฟฟ์ เด็กหนุ่มที่ใช้ชีวิตอยู่กับเดวิด-พ่อ ก็ใช่ว่าจะปราศจากความสุข หรือความอบอุ่น เมื่อพ่อกับคาเรน-ภรรยาคนใหม่ ให้การดูแลเขาเป็นอย่างดี ส่วนน้องๆ ที่เกิดกับพ่อและแม่เลี้ยงก็รักใคร่และสนิทสนมกับเขาเช่นกัน
แล้วในเรื่องของฐานะนั้น ก็ไม่ได้มีปัญหาถึงขั้นต้องปากกัดตีนถีบ
แต่ถึงกระนั้นเด็กหนุ่มหน้าตาดี เรียนดี มีความสามารถและพรสวรรค์อย่างนิค ก็ไม่สามารถพาตัวเองสลัดหลุดจากยาเสพติดไปได้ แม้จะเข้ารับการบำบัดครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยวิธีการปฏิบัติที่แตกต่างกันไปในแต่ละหน นิคยังคงกลับไปหายาเสพติดอยู่ร่ำไป ไม่ว่าจะเป็นชนิดใดก็ตาม เริ่มจากกัญชา, ยาอี, ยาไอซ์ ไปจนถึงเฮโรอีน โดยที่ครอบครัวไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากพาเขาส่งสถานบำบัดทุกครั้งเมื่อจับได้
ด้วยความที่แรงจูงใจไม่ได้เกิดจากปัญหาอย่างชัดเจน นอกเหนือไปจากมีความสุขที่ได้ใช้ ทำให้การติดยาเสพติดของนิคกลายเป็นเรื่องที่ยากจะเลิก เมื่อไม่มีสาเหตุให้จัดการ หรือว่ามีปัญหาให้แก้ไข หรือถ้ามีก็เป็นในสิ่งที่นิครู้สึกไปเอง จนครอบครัวอิดหนาระอาใจกับความพยายามประคับประคองชีวิตที่น่าจะ ‘ดี’ ของนิค ให้เดินไปข้างหน้า
และเมื่อการเดินทางของนิคกับยาเสพติดไปจนถึงจุดๆ หนึ่ง ครอบครัวที่เคยโอบอุ้มเข้ามาตลอด ก็จำเป็นที่จะต้องปล่อยวาง ให้ชีวิตของนิคเดินไปสุดทางไม่ว่าจผลลัพธ์จะเป็นยังไง ทำได้ก็แค่รอรับมือกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดี (ที่ยากจะมี) หรือเรื่องร้าย
หนังให้ภาพของคนติดยาเสพติด ที่ปราศจากแรงจูงใจในด้านลบทั้งหลายได้อย่างกลัว เมื่อตัวละครอย่างนิคพร้อมพุ่งไปหายาทุกครั้งที่ต้องการและมีโอกาส
บางทีหากจะหาสาเหตุการใช้ยาของนิค คำตอบก็อาจจะเป็นความอ่อนแอของตัวเขา ที่ไม่สามารถสลัดรสชาติที่แสนยั่วยวนของมันได้ และธิโมที ชาลาเมต์ก็ให้ภาพของนิค เด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยความสดใส หน้าตาน่ารัก หากก็เต็มไปด้วยความอ่อนแอในจิตใจได้เป็นอย่างดี ในแบบที่เป็นการแสดงที่ยกระดับจากที่เคยให้กันใน Call Me By Your Name ไปอีกขั้นหนึ่ง
และถ้าในหนังเรื่องนั้นชาลาเมต์มีอาร์มี แฮมเมอร์เป็นลมใต้ปีก กับ Beautiful Boy เขาก็มีสตีฟ คาร์เรลล์ ที่ดูเหมือนว่าจะพาตัวเองหลุดจากการเป็นนักแสดงเบาสมองไปแล้ว ทำหน้าที่นั้น
ขณะที่ตัวหนังซึ่งกำกับโดยเฟลิกซ์ ฟาน โกรนิงเกน ผู้กำกับชาวเบลเยี่ยม ก็เลือกที่จะนำเสนอเรื่องราวของนิค เชฟฟ์ และครอบครัวในแบบที่ดู ‘จริง’ มากกว่าจะเป็นงานดรามา ฟูมฟาย ที่อาจจะห่างเหินกับผู้ชมส่วนใหญ่อยู่บ้าง รวมไปถึงการสลับลำดับความเป็นไปของเหตุการณ์ไปมา ก็อาจจะพาให้สับสน แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพักก็น่าจะจับเรื่องราวได้
และถึงจะดูนิ่งเนิบ แต่หนังก็มีพลัง และรู้สึกได้ถึงเรื่องราวที่เคลื่อนไหวอยู่ข้างใน
เรื่องราวที่ทำให้รู้สึกเย็นเยียบน่าพรั่นพรึงของชีวิตเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ที่ต้องต่อสู้กับความรู้สึก ความอ่อนแอของตัวเอง เพื่อที่จะเอาชนะแรงปรารถนาที่มีต่อยาเสพติด โดยที่คนรอบข้างไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากให้กำลังใจ และรอคอยผลลัพธ์ที่จะเป็นไป
ที่สำคัญสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังคือ เรื่องจริง ที่นำเสนอได้สมจริง ด้วยการแสดงที่ดูราวกับเป็นชีวิตจริง
โดย นพปฎล พลศิลป์ คอลัมน์ ชำแหละแผ่นฟิล์ม นิตยสารเอนเตอร์เทน ฉบับที่ 1273 ปักษ์แรก กุมภาพันธ์ 2562