จะว่าไปแล้ว ถ้าบอกว่าหนังอย่าง Whiplash เป็นหนังของคนที่รักเสียงเพลงก็คงไม่ถูกไปทั้งหมด 100% เพราะเอาเข้าจริงๆ คงต้องใช้คำว่า ของคนที่รัก “ดนตรี” น่าจะถูกต้องมากกว่า ด้วยความที่ตัวหนังนั้นเน้นเรื่องการเป็นที่สุดของการเล่นดนตรี มากกว่าจะนำเสนอเพลงให้ได้ฟัง ได้ยินกัน เหมือนกับหนังเพลงเรื่องอื่นๆ โดยมีความสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์ และการสอนของฝ่ายหลังเป็นศูนย์กลาง
ครูคนที่ว่าก็คือ เทอเรนซ์ เฟล็ทเชอร์ ขณะที่นักเรียนก็คือ แอนดรูว์ นีแมนน์ มือกลองซึ่งในทีแรกเล่นอยู่กับวงแจ๊ซซ์อีกวงหนึ่งในโรงเรียน แต่เฟล็ทเชอร์เห็นแววดี เลยดึงมาเข้าวงของเขาที่กำลังจะเข้าแข่งวงดนตรี โดยให้เริ่มจากการเป็นมือกลองสำรอง และด้วยอุบัติเหตุบางประการ ทำให้เขากลายเป็นมือกลองตัวจริงในระหว่างแข่งขัน และสามารถเดินหน้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศได้อย่างที่คิดเอาไว้
ถ้าคิดว่านี่ก็คงเป็นหนังการต่อสู้เพื่อชัยชนะของพวก Underdog แบบเดียวกับที่หนังกีฬาหลายๆ เรื่องเป็น และการสอน-ความสัมพันธ์ของครูเฟล็ทเชอร์ และนีแมนน์ ก็คงเหมือนที่เคยเห็นใน To Sir with Love หรือ Dead Poet Society นั่นเป็นการคาเดาที่ผิดพลาดอย่างแรง หนังไม่ได้พูดถึงชัยชนะในแบบที่คุ้นเคยกัน แต่เป็นชัยชนะทางจิตใจ และข้ามพ้นขีดจำกัดศักยภาพของตัวเอง รวมทั้งคำปรามาสของครู ที่ไม่ได้สอนด้วยการใช้พระคุณ แต่เป็นพระเดช สร้างความกดดัน บีบเค้นเด็กสุดๆ เพื่อให้เกิดแรงระเบิดในตัวกลายเป็นความพยายามที่จะทำให้ได้เหนือกว่าที่เคยทำ
การที่จะทำเช่นนั้นได้ นีแมนน์ต้องฝึก ฝึก ฝึก และก็ฝึก เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อม จิตใจก็ต้องมั่นคงแน่วแน่ เพราะถ้าเปราะบางอ่อนแอ รับกับแรงกดของเฟล็ทเชอร์ไม่ไหว เขาก็จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในเกมเพื่อความเป็นที่สุดซะเอง
หนังได้เห็นการต่อสู้ที่เข้มข้น ดุดัน ของนักเรียนและครูคู่นี้อย่างเต็มที โดยต่างไม่มีใครลดราวาศอกให้แก่กัน และนักแสดงทั้งสองคนคนที่เล่น คือ เจ.เค. ซิมมอนส์ (ครู) และไนล์ เทลเลอร์ (ศิษย์) ก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้เป็นอย่างดี เล่นรับส่งกันได้อย่างลงตัว ถ้าเป็นนักดนตรี ทั้งคู่แม้ในเรื่องหรือบทบาทที่ได้รับจะแข่งกัน แต่ในความเป็นจริงต่างก็ทำงานของตัวเอง และร่วมกันได้อย่างดี เต็มไปด้วยพลัง
โดยเฉพาะฝ่ายแรก ที่สัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาโดยที่ไม่ต้องออกปากออกเสียง หรือท่าทางอะไรมากมาย
และส่งให้ Whiplash กลายเป็นงานที่ว่าด้วยการไปถึงที่สุดของการเป็นนักดนตรี ที่เข้มข้น ดุเดือด เลือดพล่าน ทั้งการแสดง และอารมณ์ของหนัง ที่นักดนตรีห้ามพลาด ขณะเดียวกัน เพลงในเรื่องที่เป็นงานบรรเลงแจ๊ซซ์ ก็ส่งเสริมคอนเส็ปท์ของเรื่องสุดๆ โดยเฉพาะกับการเล่นดนตรีแจ๊ซซ์ ที่ต้องใช้ทักษะ และความสามารถอย่างมาก ในการเล่นรับส่งกับเพื่อนร่วมวง หรือสอดรับกับอารมณ์ที่อยู่โดยรอบ ไม่ต่างไปจากการแสดงออกทางอารมณ์ ที่ครูและศิษย์คู่นี้ต่างส่งออกมาปะทะกัน
หนังก็ทำฉากเล่นดนตรีทั้งหลายออกมาได้สมจริง และดุดันสมกับเป็นการฟาดฟันของคนสองคน ในแบบที่ไม่ต่างไปจากสนามรบ ขณะที่การเล่นดนตรี หรือเพลงต่างๆ แทนที่จะให้ความรู้สึกรื่นรมย์กลับเป็นความมันส์ ความเข้มข้นอย่างกับฉากแอ็คชัน
Whiplash เข้าฉายในบ้านเราไปตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา แต่กับการที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอสการ์ในสาขาหนังเยี่ยม และนักแสดงสมทบชายของซิมมอนส์ ซึ่งกวาดรางวัลมาเพียบแทบทุกสถาบันก็ว่าได้ หนังน่าจะมีโอกาสกลับมาลงโรงอีกครั้ง แต่ถ้าไม่ก็น่าจะมีดีวีดีออกมาให้ได้ชมกันในไม่ช้านี้
ที่ถ้าถึงเวลานั้น ไม่อยากให้พลาดด้วยประการทั้งปวง
จากเรื่อง ชวนดู Whiplash การทำศึกสงครามผ่านเสียงดนตรี โดย นพปฎล พลศิลป์ คอลัมน์ ดนตรีมีเหตุ หนังสือพิมพ์ไทยโพสท์ วันที่ 28 มกราคม 2558
สามารถกดไลค์ Like เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่