By Sadaos
จะเรียกว่าเป็นงานในแบบ ‘Guilty Pleasure’ ก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะไม่ได้ถึงกับชอบ หรือดูแบบไม่วางตา แต่ก็ลากยาวไปเรื่อย ๆ จนจบ 10 ตอน ซึ่งจากข้อมูลที่ค้นเจอ นั่นก็คือความยาวของเรื่องในฤดูฉายแรก ก่อนที่จะตามด้วยฤดูฉายที่สองอีก 6 ตอน แต่เน็ตฟลิกซ์เอามาวางยาวต่อกันไปเลยรวดเดียว 16 ตอน ที่ด้วยความสมบูรณ์ แบบการเล่าเรื่องจนจบ เลยขอจับความตามต้นฉบับว่ากันที่ฤดูฉายแรก 10 ตอน ก่อนที่จะว่ากันต่อ (ถ้าดู) กับอีก 6 ตอนที่เหลือ
ที่ต้องบอกว่า “ถ้าดู” ก็เพราะความที่ซีรีส์ซอมบีจากแดนอาทิตย์อุทัยเรื่องนี้ มีรูรั่วเยอะแยะมากมาย ในแบบที่รู้สึกได้โดยไม่ต้องลงลึก หรือคิดให้เยอะแยะ ทั้งความเป็นไปของตัวละคร และเหตุการณ์
ที่อย่างแรก พัฒนาการ ศรีนครินทร์ รามคำแหง ของตัวละครหลาย ๆ ราย เข้าข่ายคุ้มดีคุ้มร้าย เช่น โยโฮ โคโมโตะ เจ้าของกิจการ ที่พฤติกรรม ความสัมพันธ์ของเขากับคนรอบข้าง กลับไปกลับมา แถมยังไม่ใช่ตัวละครที่น่ารัก จัดว่าเป็นพวกเห็นแก่ตัว จนไม่อยากเอาใจช่วย
ส่วนอย่างหลัง การเล่าเรื่องของ ‘Love You As the World Ends’ มีลักษณะของงานในแบบได้หน้าลืมหลัง วางปม วางประเด็นต่าง ๆ ในแบบที่ทำให้เรื่องพุ่งไปข้างหน้า พยายามสร้างเหตุการณ์พลิกผัน หักมุมไปมา แต่หากลองคิดย้อนไปถึงสิ่งที่เป็นไปก่อนหน้า หลาย ๆ อย่างไม่ได้สอดรับกันอย่างเป็นเหตุเป็นผล โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับดร. ชูโตะ ที่ย้อนไปไกลถึงสมัยที่ตัวพระเอกของเรื่อง มามิยะ ฮิบิกิ ยังเป็นเด็กน้อย
แถมตัวละครยังมีความสัมพันธ์โยงใยเกี่ยวข้องกันจนกลายเป็นเรื่องบังเอิ๊ญ – บังเอิญเกินเหตุ ที่ดูไปก็พึมพำตามไปด้วย “อย่าบอกนะว่า….” อะไรทำนองนั้น แถมยังวนเวียนมาเจอกันอย่างง่ายดาย
แต่ในความรั่ว เป็นหลุม ทะลุเป็นรู ‘Love You As the World Ends’ ก็มีตัวเรื่องที่แข็งแรง เมื่อศูนย์กลางของซีรีส์เป็นงานโรแมนติก ว่าด้วยความรักที่พลัดพราก ของฮิบิกิ ช่างซ่อมรถหนุ่ม กับพยาบาลสาว คุรุมิ ที่มีความพิเศษบางอย่างอยู่ในตัว ที่ทั้งคู่ต้องเจออุปสรรคมากมายขัดขวางไม่ให้สมหวัง ทั้งการวางแผนของคนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต้องการใช้ประโยชน์จากใครคนใดคนหนึ่ง ทั้งแง่มุมในเรื่องความรักสามเส้า เราสามคน โดยที่เล่นกับสถานการณ์เจียนเจอเจียนพบของสองตัวละครหลักให้ได้ลุ้นเป็นระยะ ๆ ในแบบที่ทำให้อยากรู้อยากเห็นว่า ที่สุดแล้วทั้งคู่ ที่ต้องเจอกันอยู่แล้วนั้น จะเจอกันยังไง แบบไหน
ที่น่าตลกก็คือ กับความพยายามที่สร้างเรื่องหักมุมพลิกผันไปมา เอาเข้าจริง ๆ เรื่องราวของ ‘Love You As the World Ends’ ก็ไม่ได้ยากเกินคาดเดา ใครเป็นตัวดีตัวร้าย เห็นหน้ามาก็สงสัย แล้วก็คิดไม่ผิดซะด้วย
นอกจากจุดหมายของตัวละคร จะทำให้ซีรีส์มีความน่าติดตาม และถือได้ว่าเป็นจุดแข็งแล้ว การแทรกประเด็นต่าง ๆ ทางสังคมเข้ามา แม้จะประดักประเดิดอยู่บ้างในบางครั้ง แต่ก็ทำให้เรื่องมีความน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคนวัยชราที่ถูกมองว่า เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่ไร้ประโยชน์ เรื่องความรุนแรงในครอบครัว เรื่องของวิทยาศาสตร์ที่ลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์
แล้วที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ ส่วนเสริม ที่เป็นเรื่องราวในอดีตของตัวละคร โดยเฉพาะที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ของสองพระ-นาง ที่ทำให้การเป็นงานโรแมนติกของซีรีส์ มีความแข็งแรงมากขึ้น รวมไปถึงขายเสน่ห์ของตัวละครไปในคราวเดียวกัน และบางครั้งก็คือการทิ้งเชื้อเอาไว้ให้อยากติดตามตอนต่อไปโดยพลัน
หนังอาจจะมีกลิ่น ‘The Walking Dead’ อยู่มาก เมื่อเล่นกับความสัมพันธ์ของคนที่รอดจากซอมบีมาได้ รวมถึงเรื่องของความรักสามเส้า เรื่องราวบางส่วนเกิดขึ้นในค่ายทหารก็อาจจะทำให้นึกถึง ‘28 Days Later’ ได้เช่นกัน แต่ท้ายที่สุด ‘Love You As the World Ends’ ก็มีที่ทางของตัวเอง โดยที่ไม่ต้องไปมองถึง ‘จริต’ ในแบบหนังญี่ปุ่น
แม้เทียบกับงานจากเกาหลี ซอมบีญี่ปุ่นเรื่องนี้อาจจะดู ‘ราคาถูก’ มากกว่าในแง่ของโปรดักชัน แต่ในเรื่องความน่าติดตามของเรื่องหรือพล็อต หรือความบันเทิงในระดับที่ทำให้ไม่รู้สึกเสียค่าไฟ แม้จะมีรอยโหว่มากมายมหาศาล ‘Love You As the World Ends’ ก็ยังไม่ใช่งานที่น่าเบื่อ จนอยากหยิบมือถือมาไถฟีดเฟซบุก หรือแช็ตไปด้วยดูไปด้วย อย่างที่ซีรีส์อีกหลาย ๆ เรื่องทำให้รู้สึก
(‘Love You As the World Ends’ ทางเน็ตฟลิกซ์)
โดย นพปฎล พลศิลป์
เป็นกำลังใจให้เราได้ ด้วยการสนับสนุนทางการเงินที่บัญชีธนาคารกสิกรไทย หมายเลข 100-2-10283-4 แล้วส่งสลิปการโอนมาที่ shopsadaos@gmail.com เพื่อรับของขวัญแทนคำขอบคุณให้ผู้สนับสนุนที่โชคดีเป็นประจำทุกเดือน
ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านวิจารณ์หนังและเพลง ได้ด้วยการกดไลค์เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่
What is your reaction?
