เท่าที่จำได้ ก่อนจะมาถึงคอนเสิร์ต “The Symphonic of WongTawan” ของ วงตาวัน ที่จัดโดยบริษัทเฟรชแอร์ เมื่อวันฮัลโลวีน 31 ตุลาคมที่ผ่านมา เคยมีโอกาสได้ชมการแสดงของวงดนตรีวงนี้แบบเต็มๆ ก็เพียงครั้งเดียว ในคอนเสิร์ตสีสัน อะคูสติค ไลฟ์ เมื่อหลายปีก่อน แต่กับบทเพลงของพวกเขา ถือว่าเป็นสิ่งที่คุ้นเคยกันดี อย่างน้อยๆ ก็ตามกันมาตั้งแต่อัลบั้มแรก “หุ่นกระบอก” ไล่มาถึงอัลบั้มปิดท้าย The PROmISE โดยไม่นับงานรวมเพลงฮิต
ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นงานที่มีลักษณะเฉพาะตัว เป็นดนตรีร็อคที่มีเซนส์ป็อป และเป็นดนตรีป็อปสำหรับคนที่ฟังเพลงจริงจัง ไม่ใช่งานป็อปอย่างที่ฟังกันทั่วๆ ไป เพราะในเพลง นอกจากดนตรีที่เขี้ยว ซับซ้อน แต่ถูกย่อยให้ฟังง่ายขึ้นด้วยท่วงทำนองและเมโลดี เรื่องราวในเพลงก็ไม่ใช่งานที่ฟังเอาผ่าน กระทั่งในเพลงรัก พวกเขาก็ยังแฝงสารบางอย่างเข้ามา ตัวอัลบั้มก็มีคอนเส็ปท์เป็นเรื่องเป็นราว
ขณะเดียวกัน การเรียบเรียงดนตรี ก็มีพื้นที่ เปิดช่องให้กับการเรียบเรียงดนตรีออเครสตราใส่เข้ามาอยู่เยอะ เพราะฉะนั้นการกลับมารวมตัวกัน เพื่อขึ้นเวทีคอนเสิร์ตอีกครั้งของวงตาวัน ที่เสริมความสมบูรณ์ด้วยวงมหานคร ฟิลฮาร์โมนิค ออเคสตรา นอกจากจะเป็นกลับมาหาแฟนๆ แล้ว ยังเป็นการเติมเต็มอรรถรสดนตรีของเพลงต่างๆ จากวงตาวัน ให้ครบถ้วน สมบูรณ์แบบอย่างที่ควรจะเป็น
ซึ่งทุกอย่าง ล้วนพิสูจน์ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์กันกับตาและหู จากการแสดงในวันนั้น ที่วงตาวันหยิบเอาผลงานเพลงถึง 23 เพลง มาเรียบเรียงใหม่ และบรรเลงร่วมกับวงมหานคร ฟิลฮาร์โมนิคฯ ที่ มหิดลสิทธาคาร มหาวิทยาลัยมหิดล โดยแบ่งการแสดงเป็นสองช่วง ในช่วงแรกดูเหมือนว่าการคอนโทรลเสียง อาจจะมีปัญหาอยู่บ้าง เมื่อเสียงออกมาแหลมและให้ความรู้สึก ‘พุ่ง’ จนเกินไป แต่เมื่อกลับมาชมต่อในช่วงที่สอง เสียงฟังนวล และมีมิติมากขึ้น ยิ่งกับเพลงที่มีจังหวะจะโคน มีสีสันเข้มๆ ด้วยแล้ว การที่ได้วงออเคสตรามาบรรเลงร่วม ทำให้งานที่ออกมามีความสมบูรณ์มากขึ้นจริงๆ โดยเฉพาะเพลงอย่าง หัวใจธนู, โองการแช่งน้ำ ขณะที่เพลงช้าๆ อย่าง หุ่นกระบอก หรือ Sweetness ก็มีความลึก ฟังจมดิ่งลงในความรู้สึก
บรรดาสมาชิกของวงตาวันเอง ต่างก็ดูพรั่งพร้อมกับการขึ้นเวทีในครั้งนี้ ทุกคนดูสด เต็มไปด้วยไฟในการทำงาน เสียงร้องของพงษ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ฟังอิ่ม แน่นกว่าที่เคยได้ยินในงานของพวกเขา, เสียงกีตาร์ของชัยวัฒน์ จุฬาพันธุ์ ออกมาคม เช่นเดียวกับเสียงร้องที่มาเต็ม นอกเหนือไปจากการแสดงออกที่ดูสนุก เพลิดเพลินไปกับการเล่นดนตรี ส่วนวงศกร รัศมิทัต ที่ดูจะเห็นออกงานออกการบ่อยที่สุดในกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลง หรือตีกลองก็อยู่ในระดับมาตรฐาน พวกเขาไม่ได้เหมือนวงที่ร้างลาการแสดงบนเวทีร่วมกันมานานเลย
แม้จะดูเป็นกลุ่มคนดนตรีที่ดูซีเรียสจริงจัง แต่เอาเข้าจริงๆ การแสดงของพวกเขาสนุก แม้จะขาดเรื่องแสงสีเสียง พลุตะไลไฟพะเนียง แต่ก็มีอารมณ์ขันของสมาชิกแต่ละคน ที่มีหยอก มีแซวกัน โดยเฉพาะ กิตติพันธ์ ปุณกะบุตร กับชัยวัฒน์ ที่ดูจะเป็นคู่ปะทะกันบนเวที ส่วนพงษ์พรหมที่ทำหน้าที่ไม่ต่างไปจากคนดำเนินรายการโชว์ ก็มีอะไรที่เรียกรอยยิ้มเป็นระยะๆ แล้วก็ยังบอกเล่าความเป็นมาของเพลงเด่นๆ ไม่ว่าจะเป็น โองการแช่งน้ำ, คนจนตรอก หรือ เสียงกระซิบจากสายฝน ให้คนดูได้รับรู้
จนการแสดงในวันนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนกับอยู่ในงานเลี้ยงรุ่น ไม่ใช่แค่การแสดงบนเวทีที่ดูเป็นกันเอง คนดูกับศิลปินก็ถ้อยทีถ้อยอาศัย ทำให้นอกจากจะได้ดื่มด่ำกับงานดนตรีดีๆ แล้ว ในคืนวันฮัลโลวีนปีนี้ ผู้คนในมหิดลสิทธาคาร ต่างก็รับและส่งความรู้สึกดีๆ ให้แก่กัน
และกลายเป็นอีกคอนเสิร์ตหนึ่ง ที่บรรยากาศอบอุ่น อบอวลไปทั่วงาน
จากเรื่อง สู่แสงแห่งตะวัน กับคอนเสิร์ตของวงตาวัน โดย นพปฎล พลศิลป์ คอลัมน์ ดนตรีมีเหตุ หนังสือพิมพ์ไมยโพสท์ วันที่ 4 พฤศจิกายน 2558
ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านงานวิจารณ์หนัง และเพลง แบบนี้ ได้ด้วยการกดไลค์ Like เพจสะเด่าส์กันไว้ก่อน ได้ที่นี่