
แม้จะได้ชื่อว่าเป็นลูกสาว เป็นพ่อ แต่นอราห์ โจนส์ก็ไม่ได้พูดถึงการจากไปของพ่อในที่สาธารณะมากนัก และหากสังเกตการให้สัมภาษณ์ถึงพ่อในที่ต่างๆ ของเธอ โจนส์มักจะใช้คำพูดถึงอย่างระมัดระวัง ขณะที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ก็ต้องใช้คำว่า ห่างเหิน
“ดนตรีของพ่อ โดนใจคนเป็นล้านๆ เขาจะเป็นที่คิดถึงอย่างมากมายจากฉัน และคนที่รักดนตรีในทุกหนทุกแห่ง” นี่คือคำแถลงการณ์สั้นๆ ที่โจนส์มีออกมาผ่านทางต้นสังกัดของเธอ
ปรมาจารย์ซีตาร์อายุได้ 59 ปีในตอนที่นอราห์ โจนส์ ลืมตามาดูโลก เธอได้เจอกับเขาเป็นพักๆ ขณะที่เจริญเติบโตขึ้นมา “ฉันไม่ชอบพูดถึงเขานัก เพราะเขาไม่มีส่วนอะไรกับชีวิตฉัน และดนตรีของฉัน” โจนส์ให้สัมภาษณ์เอาไว้ในปี 2004 และ “ถึงแม้ว่าฉันจะรักพ่อมาก แต่ฉันก็เพียงแค่ได้ใช้เวลาเยาว์วัยที่กระจัดกระจายกับเขา” เธอบอกในการให้สัมภาษณ์เมื่อปี 2002 “บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ฉันพยายามลดเรื่องความสัมพันธ์ของเรากับสื่อ”
ในครั้งที่ได้รับรางวัลแกรมมี่เมื่อปี 2003 โจนส์ถูกพูดถึงอย่างมาก เมื่อไม่ได้พูดถึงพ่อเลยในตอนขึ้นไปรับรางวัล และเธอบอกกับโอปราห์ วินฟรีย์ ในหนังสือของฝ่ายหลังเมื่อกรกฎาคม 2003 ว่า “ฉันขอบคุณทุกคนนะ ขอบคุณแม่ และขอบคุณครอบครัวของฉันทุกคน ซึ่งพ่อก็รวมอยู่ในนั้น” และ “แม่เกี่ยวข้องในฐานะเป็นแรงกระตุ้นสำหรับการงานชุดนี้ เราคุยกันทุกวันทางโทรศัพท์ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร แต่กับพ่อเราคุยกัน 5 เดือนหน ดังนั้นมันไม่ใช่ว่าฉันเขี่ยเขาออกไป ฉันไม่คิดว่า มันเป็นเรื่องเหมาะสมที่จะขอบคุณเขา เพราะเขาไม่ได้ช่วยฉันทำงานชุดนี้ มันไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สนับสนุน หรือให้กำลังใจ มันก็แค่ฉันไม่ได้พูดกับเขาบ่อยครั้งมากพอเท่านั้นเอง”
และดูเหมือนว่า ระยะห่างจากพ่อถึงลูกสาว จากระวี ชังการ์ มาถึงนอราห์ โจนส์ นั้น ช่างยาวไกลเหลือเกิน และบางที กับแฟนเพลงบางคนก็อาจจะมีระยะทางที่สั้นกว่าก็เป็นได้
แต่อย่างน้อยที่สุดในฐานะของคนทำงานเพลง ทำงานดนตรี เหมือนกัน โจนส์ก็ให้การยกย่องพ่อของเธอเป็นอย่างดี สมกับที่ควรจะเป็น เช่นที่แสดงออกมาในแถลงการณ์
โดย นพปฎล พลศิลป์ จากคอลัมน์ ดนตรีมีเหตุ หนังสือพิมพ์ไทยโพสท์ วันที่ 28 ธันวาคม 2555