
ต่างไปจาก Supersonic หนังสารคดีที่ว่าด้วยความเป็นมาของวง Oasis ตั้งแต่จุดเริ่มต้นไปจนถึงจุดพีคที่การแสดงคอนเสิร์ทที่เน็บเวิร์ธ เมื่อ 10-11 สิงหาคม 1996 ซึ่งมีผู้ชมเกินแสนทั้งสองวัน เมื่อ As It Was จะว่าด้วยชีวิตของเลียม กัลลาเกอร์ ที่เริ่มต้นจากวันที่โอเอซิสเลิกรา หลังเหตุการณ์ทะเลาะกันหลังเวทีคอนเสิร์ทที่ฝรั่งเศส จนถึงขั้นลงไม้ลงมือระหว่างเขากับพี่ชาย – โนล กัลลาเกอร์
ตามด้วยการตั้งวง Beady Eye, ชีวิตแต่งงานกับนิโคล แอพเพิลตันที่ล้มเหลว และความรักครั้งใหม่ รวมถึงการกลับมาทำงานเพลงอีกครั้งด้วยสถานะของศิลปินเดี่ยว ที่มี As You Were เป็นงานชุดแรกเมื่อปี 2017 แล้วก็ตามด้วยอัลบัมชุดที่สอง Why Me? Why Not ที่ออกมาก่อนหน้าหนังเรื่องนี้เปิดตัวฉายไม่นาน ที่หากบอกว่า เป็นการทำงานที่ผ่านการวางแผนมาเป็นอย่างดีก็คงไม่ผิด เมื่อทั้งภาพยนตร์และอัลบัมออกมาไล่เลี่ยกัน น่าจะเป็นมือไม้ทางการตลาดที่นับสนุนกันได้ดี ซึ่งในหนังเราจะได้ฟังเพลงของเลียมกันมากมาย ทั้งในนามบีดี อาย หรือว่าจากงานเดี่ยว
ขณะที่ตัวอัลบัม ทำให้แฟนๆ ของเลียมและโอเอซิส ได้อิ่มเอิบกับดนตรีที่ทำให้นึกถึงยุคเรืองรองของดนตรีบริท-ป็อป และแน่นอนโอเอซิส
ตัวหนังนั้น… ก็ทำให้หลายๆ คนได้เห็น…
ถ้ามองในแง่ดี ก็ไม่พ้นภาพของเลียมในวันที่เติบโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่วัยใกล้ 50 ที่มีทัศนคติ, การใช้ชีวิต แตกต่างไปจากเดิม ไม่ใช่ร็อคแอนด์โรลล์ สตาร์ ที่ยังติดอยู่กับ เซ็กส์, ยา และดนตรี (Sex, Drugs, Rock n’ Roll) หรือภาพของแบดบอย แถมยังกลายเป็นพ่อที่อ้าแขนต้อนรับลูกๆ ทุกคน ให้ความรัก ดูแลอย่างอบอุ่น, เป็นหนุ่มใหญ่ที่ใช้ชีวิตแบบเฮลธีๆ ตอนเช้าๆ ออกวิ่งตามสวนสาธารณะ ลดหรือละเครื่องดื่มมึนเมา-เหล้า-ยาเสพติด, มีความรักจากผู้หญิงที่เข้าใจ เป็นทั้งกำลังใจและแรงผลักดันสำคัญในการทำงาน
งานที่ทำให้เขาได้ทำในสิ่งที่รักและทำได้ดีที่สุด การยืนอยู่หน้าไมโครโฟน ร้องเพลงให้ผู้คนได้ฟัง ที่ในเวลาเดียวกันก็ทำให้เขาพยายามทำ ในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยทำอย่างจริงๆ จังๆ มาก่อน อย่าง การแต่งเพลง ที่เขาก็ทำได้ดีซะด้วย
ขณะที่เรื่องราวในอดีตว่าด้วยความร้าวฉานกับพี่ชาย As It Was นำเสนอออกมาตรงๆ ว่า เลียมก็พยายามติดต่อกับพี่ รวมถึงขอความช่วยเหลือในยามที่ลำบาก แต่โนลกลับทำเมิน ไม่ตอบรับการสื่อสารจากน้องชาย ยิ่งไปกว่านั้น หนังยังไม่ปิดบังเลยว่า โนลน่าจะอยากจะออกจากโอเอซิสอยู่แล้ว เพราะจากปากคำของเลียม เขาคือคนที่พูดคุยถึงปัญหาในวงกับหนังสือพิมพ์แทบลอยด์ตัวแสบ – เดอะ ซัน ก่อนโอเอซิสขึ้นเวทีคอนเสิร์ทครั้งสุดท้าย
การตำหนิ ติเตียน พีชายแบบเนียนๆ เช่นนี้ มีให้เห็นอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ทั้งจากตัวเลียม และคนรอบข้าง ซึ่งมีแรงเหวี่ยงมากพอจะทำให้หลายๆ คนมองโนลเป็นตัวร้ายของโอเอซิส
แล้วก็กลายเป็นจุดอ่อนของหนังเช่นกัน เพราะให้ความรู้สึกไม่ต่างไปจากงานโฆษณาชวนเชื่อ ที่บอกว่า เลียมเปลี่ยนไปแล้ว โตขึ้น สะอาดขึ้น และตั้งใจทำงาน ดูแลครอบครัว รักแฟนเพลง ขณะที่โนลยังคงคุมแค้นเหมือนอย่างที่เคยเป็น ที่ชื่อหนังอาจจะหมายถึงเขาก็เป็นได้
แต่เพราะข่าวคราวเกี่ยวกับสองพี่น้องที่ปรากฏออกมาในช่วงหลังๆ การกระทำ การให้สัมภาษณ์ของเลีียมที่ได้รับรู้มา ดูไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับที่ As It Was นำเสนอสักเท่าไหร่ ไปๆ มาๆ ไม่หนังเรื่องนี้หรือสื่อต่างๆ ก็ต้องมีใครสักคนที่พูดปดหรือบอกความจริงออกมาไม่หมด และทำให้หนังสารคดีเรื่องนี้ มีบรรยากาศของงานในแบบโฆษณาชวนเชื่อ
เพราะหลายๆ อย่างหากไม่นับเรื่องความหมางเมินที่มีต่อน้องชายของโนลแล้ว ดูเหมือนว่าสิ่งที่เห็นในหนังช่างไม่ As It Was แต่น่าจะเป็น As It Wasn’t มากกว่า
ถ้ามองในภาพใหญ่ กับการใช้หนังเรื่องนี้โปรโมทตัวเองและอัลบัมใหม่ที่ออกมาไล่ๆ กัน บวกกับโบนัสที่ได้ทิ่มแทงพี่ชายไปด้วย จะว่าไป มันก็คือการกระทำของเลียมเฉกเช่นที่เคยเป็น หากว่าหนนี้มันแนบเนียนและสร้างภาพดีๆ ให้กับตัวเองไปด้วยในเวลาเดียวกันนั่นเอง
โดย นพปฎล พลศิลป์ เรื่อง ดูมาแล้ว AS IT WAS หนังของเลียม เพื่อเลียม คอลัมน์ ดนตรีมีเหตุ หนังสือพิมพ์ ไทยโพสท์ วันที่ 22 ตุลาคม 2562