BATMAN V SUPERMAN – DAWN OF JUSTICE: เมื่อดูจบ สิ่งหนึ่งที่รู้สึกคือ Batman V Superman: Dawn of Justice เป็นหนังสนุก เอามันส์ได้เต็มที่ ไม่ใช่งานในแบบสองเรื่องเป็นเรื่องเดียวกัน (ที่ไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน) อย่าง Man of Steel เมื่อการเล่าเรื่องลื่นไหล โทนของหนังทั้งเรื่อง และบรรยากาศไม่แตกต่างกัน
แล้วก็มีประเด็นที่น่าสนใจ ซึ่งเป็นการตั้งคำถามกับซูเปอร์ฮีโรทั้งหลาย ซูเปอร์แมนที่มีอำนาจมากมายมหาศาล จะอยู่ข้างเดียวกับมนุษย์ได้นานขนาดไหน หรือสมควรจะอยู่ในโลกนี้หรือเปล่า เมื่อการมาถึงของเขาทำให้เกิดการต่อสู้ที่สร้างความสูญเสียมากมายให้กับมนุษยชาติ จนซูเปอร์แมนเกิดลังเลใจว่า จริงๆ แล้วเขาเหมาะสมกับโลกใบนี้หรือเปล่า ขณะเดียวกันมนุษย์ค้างคาว ก็โดนเปิดแผลเรื่องการเป็นศาลเตี้ยขึ้นมาอีกครั้ง
นั่นคือความน่าสนใจอย่างที่สุดของหนัง ที่มาในงานโทนหม่น ดูมืด เข้มขรึม จริงจัง แต่เต็มไปด้วยปัญหาของหนังเฟรนไชส์ ที่จะมีภาคต่อ ตอนแยก ตอนก่อน ตามมา ซึ่งความไม่สมบูรณ์ของเรื่องจะขาดๆ หาย ทั้งแบ็คกราวนด์ของตัวละคร และเหตุการณ์ต่างๆ บรรดาตัวละครใหม่ที่ปรากฏตัวในหนังเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็น สาวน้อยมหัศจรรย์, เล็กซ์ ลูเธอร์, มนุษย์สายฟ้า, อะควาแมน และ ไซบอร์ก ปูมหลังความเป็นมา รวมไปถึงแรงบันดาลใจของพวกเขา ต่างถูก ‘ละไว้ในฐานที่เข้าใจ’ โดยเฉพาะ เล็กซ์ ลูเธอร์ ที่จะเชื่อมทุกอย่างเข้าไว้ด้วยกัน แต่ดันเป็นตัวละครลอยๆ จนทำให้ตัวละครอื่นๆ และเหตุการณ์หลายๆ เหตุการณ์ในหนัง ดูเหมือน ‘นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป’ รวมไปถึงมีคำถามมากมายเกิดขึ้นระหว่างชม
ตรรกะวิธีคิดของตัวละครก็ดูแปลกๆ เช่น ซูเปอร์แมน จะต้องวุ่นวายอะไรมากมายกับการทำงานของมนุษย์ค้างคาว แล้วบทตัวละครจะเปลี่ยนใจ ก็เปลี่ยนกันง่ายๆ ดีกันง่ายๆ หลังซัดกันมาชุดใหญ่
การเล่าเรื่องแม้ดูกลมกลืนกว่า Man of Steel แต่บางฉากก็โดด และ ‘หลุด’ เช่น ฉากปล้นคริปโตไนท์ ที่ดูเป็นฉากความฝันของตัวละคร มากกว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวพันกับส่วนอื่นๆ ของเรื่อง แถมหลายๆ หน หนังก็ปัญหาให้ตัวละครแบบง่ายๆ โดยใช้ฉากความฝัน หรือให้ตัวละครบางตัวมาพูดชี้ทางกันตรงๆ
ส่วนการได้เบน อัฟเฟล็ค มาเล่นเป็นบรูซ เวย์น และมนุษย์ค้างคาว ถือเป็นการตัดสินใจที่ใช้ได้ อัฟเฟล็คใส่ความเป็นผู้ใหญ่ ใส่ความรู้สึกเจ็บแค้น ลงไปในตัวละครได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญมาพร้อมกับ ‘รัศมี’ ในตัวที่ข่มเฮนรี คาวิลล์ ในบทคลาร์ค เคนท์ และซูเปอร์แมนได้มิด กัล การ์ด็อทที่เล่นเป็นไดอานา ปรินซ์ และวอนเดอร์ วูแมน เรื่องภาพลักษณ์นั้นสอบผ่าน แต่ปัญหาจากการที่ตัวละครขาดปูมหลัง ทำให้กลายเป็นตัวละครลอยๆ ที่คนดูไม่รู้สึกอะไรมากกว่า “ก็สวยดี”
ที่น่าผิดหวังก็คือ เจสซี ไอเซนเบิร์ก เจ้าของบทเล็กซ์ ลูเธอร์ ที่หากดูเฉพาะเขาคนเดียว ลูเธอร์ของไอเซนเบิร์กแตกต่างจากของยีน แฮ็คแมน หรือว่า เควิน สเปชีย์ ชัดเจน เป็นพวกเนิร์ด ที่มีความเป็นผู้ร้ายโรคจิตอยู่ในตัว แต่การแสดงออกดูล้น เป็นการ์ตูน เหมือนกับโจ๊กเกอร์ ฉบับเบาๆ ซึ่งดูแล้วไม่เข้ากับตัวละครอื่นๆ และเรื่อง พอมาเจอ ‘บท’ ที่ไม่มีอะไรมาสนับสนุน ก็ลอยไปลอยมา หากฝั่งแลนดิ้งไม่เจอ
จากที่บู๊กันจนเมืองพังใน Man of Steel กลับมาหนนี้ ความเสียหายกลายเป็นคูณ 2 และน่าจะทำให้ตัดสินใจง่ายขึ้นว่า โลก (หรืออเมริกา) ควรหรือไม่ควรมีซูเปอร์ฮีโรทั้งหลายให้การปกป้องดูแล เพราะดูแล้วมันจะแย่ยิ่งกว่ายั่งยืน
ในความพยายามขึงขัง จริงจัง สร้างทุกอย่างแบบอัดแน่น เอาเข้าจริงๆ แล้วก็ได้แค่เปลือก เมื่อส่วนที่ควร ‘ลึก’ ของหนังออกมาตื้นเขินอย่างที่สุด หากมองโดยใช้ Dawn of Justice อย่างชื่อหนัง ก็คงเต็มไปด้วยความน่าผิดหวัง แต่ถ้ามองกันแบบ Down of Justice อย่างไม่ต้องคิดอะไรกันมาก เอานะ… มันก็ไม่ได้แย่อะไร สนุกสนานบานตะไทได้เหมือนกัน ขอร้องอย่าไปเทียบกับหนังชุด The Dark Knight Trilogy ของคริสโตเฟอร์ โนแลน ก็แล้วกัน
นั่นมันอาหารรสชาติขึ้นหิ้ง ไม่ใช่ของปิ้งๆ ที่หากินกันได้ดาดดื่นทั่วไป
ควรชมหากชอบ: Man of Steel, The Dark Knight Trilogy, Sucker Punch
โดย นพปฎล พลศิลป์
ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านงานวิจารณ์หนัง และเพลง แบบนี้ ได้ด้วยการกดไลค์ Like เพจสะเด่าส์กันไว้ก่อน ได้ที่นี่