แจ็ค ไรอัน เป็นอีกตัวละครระดับไอคอนในโลกภาพยนตร์ ซึ่งที่มาก็คือจากนิยายแอ็กชัน-สายลับ-การเมือง ของทอม แคลนซี ที่หลังแคลนซีจากไปในปี 2013 เรื่องราวก็ถูกสานต่อโดย มาร์ก กรีนีย์และมาร์ค คาเมรอน ซึ่งก่อนหน้านั้นกรีนีย์กับแกรนต์ แบล็ควูด ก็เข้ามาร่วมเขียนนิยายกับแคลนซีไปหลายเล่มแล้ว และยังมีเรื่องราวตอนแยกที่เป็นฝีมือของไมก์ มาเดนอีกคน ทำให้เรื่องของนักวิเคราะห์ของซีไอเอมีให้อ่านกันถึง 21 เล่ม และกินความตั้งแต่ยุคสงครามเย็น มาถึงโลกไซเบอร์ ตัวละครเองก็มีความก้าวหน้าทางหน้าที่การงาน จากเจ้าหน้าที่นั่งโต๊ะก็ไปถึงเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา
แต่กับภาพยนตร์ แจ็ค ไรอันปรากฏตัวบนจอน้อยกว่าเยอะ ผู้ชมและแฟนนิยายได้เห็นเขาครั้งแรกก็ใน ‘The Hunt for Red October’ (1990) ที่อเล็ก บอลด์วิน รับบท แล้วตามด้วย ‘Patriot Games’ (1992) กับ ‘Clear and Present Danger’ (1994) ที่แฮร์ริสัน ฟอร์ด เล่นเป็นไรอัน พอมาถึงหนังเรื่องที่สี่ เบน แอฟเฟล็คมารับไม้ต่อใน ‘The Sum of All Fears’ (2002)
ทุกเรื่องประสบความสำเร็จสวย ๆ ทางรายได้ แม้ ‘Patriot Games’ อาจจะโดนติติงว่าไม่งามเท่าเรื่องอื่น ๆ ด้วยผลลัพธ์ที่ได้รับ เรื่องของแจ็ค ไรอันคืองานสายพันธุ์ดี ที่น่าจะสานต่อได้ยาว ๆ เช่นเดียวกับตัวละครระดับตำนานรายอื่น ๆ เช่น เจมส์ บอนด์
แต่กว่าจะได้เห็นแจ็ค ไรอันอีกครั้ง ก็เป็นหนังอิงตัวละครของแคลนซี ที่พาไปพบกับที่มาของคนเก่งแห่งซีไอเอรายนี้ ‘Jack Ryan: Shadow Recruit’ (2014) หนังได้คริส ไพน์ มารับบทไรอันวัยหนุ่ม ที่หวังจะปลุกหนังเป็นงานภาคต่อเรื่องสำคัญ แต่ทุกอย่างก็จบลง เมื่อเป็นหนังแจ็ค ไรอันที่รายได้ (หรือทำกำไร) น้อยที่สุด
หากเพราะเป็นตัวละครสายพันธุ์ดี กระทั่งหนังที่เรียกได้ว่าไม่ประสบความสำเร็จในชุด ยังทำรายได้ถึง 135 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากทุนสร้าง 60 ล้าน มีเรื่องราวให้หยิบมาสร้างเป็นหนังได้ถึง 21 เล่ม แถมยังเป็นนิยายระดับเบสต์ เซลเลอร์เกือบทั้งหมดก็ว่าได้
แจ็ค ไรอันหายตัวไปได้ไม่นานหรอก
การกลับมาครั้งใหม่ของไรอันเป็นการกลับมาที่เหมาะสมดี เมื่อถูกสร้างเป็นซีรีส์ความยาว 8 ตอน ปล่อยให้ชมทางแอมะซอน ไพรม์ วิดีโอ มีแพลตินัม ดูนส์ บริษัทสร้างหนังของไมเคิล เบย์เป็นผู้สร้างร่วมกับพาราเมานต์ เทเลวิชั่น
ส่วนเรื่องราว เป็นอีกครั้งที่คนทำงานเลือกจะหยิบตัวละครไม่ใช่เรื่องของแคลนซีมาใช้ ด้วยการพาผู้ชมไปพบกับการเริ่มต้นของไรอัน ซึ่งหนังใหญ่เคยล้มเหลวมาแล้วอีกครั้ง โดยคนที่มารับบทสำคัญคือ จอห์น คราซินสกี้ นักแสดงและผู้กำกับ, เขียนบทของ ‘The Quiet Place’ ทั้งสองภาค ส่วนผู้สร้างสรรค์เรื่องราวก็คือ คาร์ลทัน คิวส์ ผู้อยู่เบื้องหลังซีรีส์ อย่าง ‘Lost’, ‘Bates Motel’, ‘The Strain’ และ ‘Locke & Key’ กับแกรห์ม โรแลนด์ ที่เคยเป็นมือเขียนบทให้ ‘Lost’ รวมถึง ‘Fringe’ ที่ต่างก็เป็นการทำงานร่วมกับคิวส์ เช่นเดียวกับซีรีส์เรื่องนี้
นอกจากแบ็คหนา หนัก และคร่ำประสบการณ์ ทีมงานก็แข็งปึ้ก คนทำดนตรีคือ รามิน ดจาวาดี ที่ทำดนตรีให้กับซีรีส์ ‘Game of Thrones’ และหนังอย่าง ‘Iron Man’, ‘Pacific Rim’ ผู้กำกับก็มีคิวส์ มีแพทริเซีย ริกเก้น ผู้กำกับ ‘The 33’ หนังสร้างจากเรื่องจริงของกลุ่มคนงานที่ติดอยู่ในเหมือง, แดเนียล แซคไฮม์ ผู้กำกับซีรีส์ ‘The X-Files’, ‘The Walking Dead’, ‘Game of Thrones’ และเจ้าของรางวัลเอ็มมีสาขาผู้กำกับจาก ‘Ozark’ แล้วยังมี มอร์เทน ทิีลดุม ผู้กำกับที่เคยเข้าชิงออสการ์จาก ‘The Imitation Game’ อีกคน
ซีรีส์ ‘Jack Ryan’ คืองานที่สร้างบนรากฐานระดับคอนกรีตเสริมด้วยเหล็กกล้า หรือถ้าการพูดแบบนี้เป็นการด่วนตัดสินก่อนชม ก็ยังพูดได้ว่า มาพร้อมวัตถุดิบมีเกรด ระดับพรีเมี่ยม
และซีรีส์ก็เปิดตัวได้เยี่ยมตั้งแต่ตอนแรก ผู้ชมจะได้พบแจ็ค ไรอัน ในตำแหน่งนักวิเคราะห์ระดับล่างของซีไอเอ ที่ตรวจพบเส้นทางการเงินของซูไลมาน ผู้ก่อการร้ายชาวเยเมนเข้า ซึ่งผลงานไปเตะตาเจมส์ เกรียร์ หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการของซีไอเอจนถูกดึงมาร่วมงานกัน โดยฝ่ายหลังยังมีลับลมคนในบางอย่างกับการปฏิบัติภารกิจที่การาจีจนถูกแขวนให้อยู่กับงานนั่งโต๊ะพักใหญ่
ตัวละครไรอันกับเกรียร์มีทั้งสิ่งที่เหมือนและแตกต่างกัน ที่เหมือนคือต่างพร้อมจะแหกกฎเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย แต่ฝ่ายคนหนุ่มดูจะมีมโนธรรมในจิตใจมากกว่า เมื่อแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่มีความสุข หรือไม่อยากทำงานร่วมกับพวกอาชญากรรมที่มาเป็นมือเป็นเท้าให้ ผิดจากอีกฝ่ายที่ทำงานภาคสนามมายาวนาน ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ รู้ดีว่าการทำงานแต่ละครั้ง จะเล่นตามกฎ คบแต่พวกใจซื่อมือสะอาดเท่านั้นไม่ได้ โดยเฉพาะในโลกที่ไม่ได้มีแค่สีขาวกับดำ แต่ยังมีสีเทาที่รายละเอียดของเฉดยิบย่อยลงไปอีก
กระทั่งซูไลมาน ผู้ก่อการร้ายชาวเยเมน ก็ไม่ได้ร้ายแบบไร้เหตุผล หากร้ายเพราะถูกกระทำ เป็นฝ่ายสูญเสียตั้งแต่เด็ก ๆ ทำให้เก็บงำความแค้นเอาไว้ เพื่อรอวันสะสางกับสหรัฐอเมริกา ที่ภาพอาจจะมีความพยายามสร้างให้เป็นตำรวจโลก แต่กับการปฏิบัติก็ไม่ต่างจากอันธพาลใหญ่มีอาวุธครบมือ ซึ่งความถูกต้องในมุมมองอเมริกัน อาจจะไม่ใช่ความถูกต้องของผู้ถูกกระทำ หรือกระทั่งสังคมโลกด้วยซ้ำ
ปมที่เป็นต้นเหตุเรื่องราวของหนังไม่ใช่ของใหม่ ความสัมพันธ์ของสองตัวละคร ก็ไม่ต่างจากในหนังคู่หู คนสองที่แตกต่างหากมีบางอย่างร่วมกันต้องมาทำงานด้วยกัน แล้วค่อย ๆ เรียนรู้กันและกัน ซึ่งกับไรอันยังเป็นการเรียนรู้การทำงานในอีกโลกหนึ่ง ที่ค่อย ๆ เปลี่ยนมุมมองของเขา เป็นพัฒนาการของตัวละคร ที่เดินหน้าไปตามการรับรู้ สัมผัสโลกที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
เรื่องการแกะรอย ตามล่าผู้ก่อการร้าย และสืบเสาะถึงแผนการอันตรายที่วางเอาไว้ ก็เป็นเรื่องที่คุ้นชินเช่นกันในหนังสายลับทั้งหลาย แต่ในความเดิม ๆ แบบนี้ ตัวงานก็ยังน่าติดตาม ดูสนุก เมื่อสารพัดเรื่องรองของเรื่องและตัวละคร ที่แต่ละคนต่างมีปม ไรอันที่นอกจากทัศนคติที่แย้งกับเกรียร์, ยังมีเรื่องความรัก รวมถึงมโนธรรมในจิตใจ เกรียร์เองก็มีปัญหากับการทำงานในอดีต ซูไลมานก็ไม่ใช่มีแค่เรื่องแผนก่อการร้ายที่ต้องทำ แต่มีปัญหาในครอบครัวต้องจัดการ ทั้งหมดทำให้ซีรีส์มีความเข้มข้นมากขึ้น เมื่อพาเรื่องให้มีอารมณ์ และสถานการณ์ที่หลากหลายให้เกาะติด นอกเหนือจากแผนการของซูไลมาน กับการแกะรอยของไรอันกับเกรียร์ ที่มีล่อหลอก มีลูกล่อลูกชน ก่อให้เกิดสถานการณ์พลิกผันไปมาเป็นทุนเดิม และเป็นแกนหลักของเรื่องอยู่แล้ว
โดยแต่ละตอนก็ไม่ขาดฉากแอ็คชั่นหรือไฮไลต์ ที่ทำให้ลุ้นระทึกหรือตื่นเต้น
อาจจะมีเพียงอย่างเดียวที่ทำให้รู้สึกตะหงิด ๆ ก็คือการใส่ตัวละครนักบินโดรนอเมริกัน ที่เข้ามาช่วยตัวละครบางราย ดูเป็นการรักคุณธรรมของทหารอเมริกันมากจนเกินเหตุ แถมการกระทำหลังจากนี้ของตัวละครยังให้รู้สึกไม่ต่างจากโฆษณาชวนเชื่อความดีงามในจิตใจ ความรับผิดชอบของทหารอเมริกันจนเว่อร์วัง ซึ่งเรียกว่าเป็นทั้งจุดอ่อน และเป็นการด้อยค่าตัวเรื่องได้เลยด้วยซ้ำ
การแสดงของคราซินสกี้ ในบทที่หากไม่นับไพน์แล้ว ทุกคนต่างทำได้ดี ถือว่าไม่เสียของ และมีลักษณะของตัวละครแบบที่แฮร์ริสัน ฟอร์ดวางเอาไว้ คนธรรมดา ๆ ที่ตกไปอยู่ในสถานการณ์สำคัญ ทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ ไม่ได้มีความเป็นฮีโร มีความขัดแย้งทั้งกับตัวเอง กับการทำงาน และเพื่อนร่วมงาน ที่ทำให้ดูเป็น “คน” จริง ๆ แม้การคลี่คลายปมต่าง ๆ ของไรอัน โดยเฉพาะช่วงท้าย ๆ จะดูง่าย และรวบรัดไปบ้าง แต่ในแง่ของความบันเทิง การสร้างสถานการณ์ที่บีบคั้น การทำให้ตัวละครต้องตัดสินใจในช่วงเวลาสำคัญ ๆ งานนี้ถือว่าเป็นเรื่องได้มากกว่าเสีย แล้วคราซินสกี้ยังเข้าคู่กับเวนเดลล์ เพียร์ซ ที่รับบทเกรียร์ได้ดี จนกลายเป็นตัวละครคู่หูที่เติมเต็มให้กันและกัน
ไม่น่าแปลกใจที่ตัวซีรีส์จะได้รับการสานต่อไปอีก โดยฤดูฉายที่สองสามารถหาชมได้แล้วที่แอมะซอน ไพรม์ วิดีโอ และมีประกาศออกมาเรียบร้อยแล้วว่า จะสร้างกันถึงฤดูฉายที่สี่ ซึ่งจะเป็นฤดูฉายสุดท้าย
ด้วยความบันเทิงที่มอบให้ในฤดูฉายแรก ‘Jack Ryan’ คืองานซีรีส์อีกเรื่องที่พร้อมจะทำให้เสียงานเสียการ เมื่อดึงให้ติดหนึบหนับอยู่หน้าจอโทรทัศน์ได้แน่ ๆ โดยเฉพาะของหนังแอ็คชั่นจารกรรม-สายลับ ที่มีแง่มุมการเมืองระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง
แต่ไม่ต้องห่วง หากเตรียมตัวให้พร้อม เสียเวลาก็แค่คืนเดียวเท่านั้น เพราะซีรีส์เรื่องนี้ความยาว “แค่” 8 ตอนเอง
ผู้สร้างสรรค์: คาร์ลทัน คิวส์, แกรห์ม โรแลนด์ จากตัวละครของ ทอม แคลนซี นักแสดง: จอห์น คราซินสกี้, เวนเดลล์ เพียร์ซ, แอบบี คอร์นิช, อาลี สุไลมาน, ดินา ชิฮาบิ, จอห์น ฮูเกแนกเกอร์ (JACK RYAN ทาง แอมะซอน ไพรม์ วิดีโอ)
โดย นพปฎล พลศิลป์ คอลัมน์ วิจารณ์-แนะนำ นิตยสารสีสัน ปีที่ 33 ฉบับที่ 9 ตุลาคม 2565
ให้กำลังใจและสนับสนุนเราได้ที่บัญชีธนาคารกสิกรไทย หมายเลข 100-2-10283-4 แล้วแจ้งมาที่กล่องข้อความของเพจ sadaos หรือที่อีเมล shopsadaos@gmail.com เพื่อรับของขวัญแทนน้ำใจ
ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านวิจารณ์หนังและเพลง ได้ด้วยการกดไลค์เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่