
งานซอมบีจากแดนอาทิตย์อุทัย ที่มีอะไรหลาย ๆ อย่างทำให้นึกถึงงานซีรีส์ซอมบีฝรั่งอย่าง ‘The Walking Dead’ ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใส่เรื่องรักสามเส้าเข้ามาในเรื่อง ที่ตัวละครฝ่ายชายก็คือเพื่อนกันมาก่อน แล้วยังมีเรื่องของผู้คนที่ติดสอยห้อยตามกลุ่มใหญ่ ออกเดินทางหาที่พักพิงที่ปลอดภัยคล้าย ๆ กัน ตลอดจนยังมีเรื่องของศูนย์ทดลอง เรื่องของวัคซีน ไม่ผิดแผกไปจากกัน
แต่ถึงกระนั้น หนังก็มีที่ทางของตัวเองเมื่อเน้นเรื่องราวความรักของหนุ่ม-สาวที่พลัดพรากจากกัน พร้อมทั้งใส่เรื่องการทดลองไวรัสโกเลมเข้ามา ที่ทั้งตัวเอกฝ่ายชาย และฝ่ายหญิงต่างก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไม่น้อย ฝ่ายแรกแม่คือคนที่ถูกทดลองมาก่อน ส่วนฝ่ายหลังร่างกายก็มีการตอบรับไวรัสที่ผิดไปจากคนอื่น ๆ ที่ทำให้เรื่องราวมีความซับซ้อนมากขึ้น หนังมีรูรั่วของบทมากมาย ตัวละครหลาย ๆ รายมีพัฒนาการในแบบไบโพลาร์ กลับไปกลับมา แต่การที่หนังมีเป้าหมายชัดเจน มีประเด็นที่แน่นอน ก็ยังทำให้มีความน่าติดตาม อย่างน้อยก็ดึงผู้ชมให้อยู่กับเรื่องหลักได้ แล้วก็มีการเล่นกับสถานการณ์เจียนพบเจียนเจอของสองตัวละครหลัก รวมไปถึงเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่ตัวละครต้องแก้ไข เป็นความตื่นเต้น
กับฤดูฉายที่สอง ที่ในเน็ตฟลิกซ์แปะพ่วงกับปีแรกเรียบร้อยจนดูเหมือนเป็นซีรีส์ความยาว 16 ตอน ‘Love You as the World Ends’ ยิ่งทำให้นึกถึง ‘The Walking Dead’ มากขึ้น เมื่อเรื่องราวแปะติดอยู่กับสถานที่ปลอดภัยไปทั้งเรื่องไม่ต่างกัน และเนื้อหนังก็ว่ากันที่ความเป็นดรามาเป็นหลัก เรื่องการต่อสู้กับพวกซอมบี การต่อสู้เพื่อแย่ชิงทรัพยากรของผู้คนดูจะเป็นเรื่องรอง
แน่นอนว่าหากเทียบกับฤดูฉายแรก หนังจะดูหนืด ส่วนเรื่องราวก็นิ่งมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด และเป็นอีกครั้งที่หันมาเล่นกับเรื่องรักสามเส้า ที่คราวนี้สถานการณ์ของฮิบิกิดูจะย่ำแย่ไปกว่าเดิม เมื่อคูรูมิที่แม้จะได้พบและเดินทางร่วมกันแล้วกลับความจำเสื่อมเพราะไวรัสโกเลม แล้วดูจะมีใจให้กับอะกิโยชิ ที่เป็นผู้ดูแลสถานพักพิงซึ่งปรับเปลี่ยนจากรีสอร์ตเก่า แต่อย่างน้อยหนังก็ใช้ช่วงเวลาแบบนี้ นำเสนอเรื่องราวในแง่มุมอื่นเข้ามาด้วย ทำให้ไม่ถึงกับกลายเป็นงานที่น่าเบื่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชนชั้น ความสัมพันธ์ของตัวละครในเรื่อง รวมไปถึงเรื่องลึกลับที่อยู่เบื้องหลังของรีสอร์ตแห่งนี้ และกลุ่มคนที่ซอมบีมาจัดการกลุ่มของฮิบิกิ และรุกล้ำเข้ามาในรีสอร์ต ช่วยลดความหนืดเนือยของเนื้อหา และสร้างความระทึกตื่นเต้นให้ได้บ้าง
ที่สำคัญหนังกล้าที่จะกำจัดตัวละครต่าง ๆ ทิ้งในแบบที่ไม่เกรงใจผู้ชม ต่อให้เป็นคนที่คนดูผูกพัน แถมยังเป็นแบบโหด ๆ ซ้ำ เล่นเอาช็อกไม่น้อยเหมือนกัน
ถือว่าเป็นโชคดีที่ซีรีส์ปิดจบลงแบบสั้น ๆ แค่ 6 ตอน และปิดฉากในแบบทิ้งท้ายไว้ได้อย่างน่าติดตาม เมื่อสองตัวละครหลักของเรื่องต้องพลัดพรากจากกันอีกครั้ง ตัวละครบางรายจากฤดูฉายแรกก็ต้องดิ้นรนต่อสู้ด้วยตัวเอง และน่าจะทำให้เรื่องแตกหน่อต่อยอดไปได้อีก ถึงจะไม่ใช่เรื่องราวที่พลิกผันยากเกินคาดเดา แต่ด้วยความเป็น “ญี่ปุ่น” และเรื่องราวที่มีเป้าหมายชัดเจนให้เกาะติด
‘Love You as the World Ends’ ยังมีพลังมากพอให้เดินตามไปต่อ แม้จะไม่ถึงกับทำให้กระหายใคร่รู้ก็ตามที
(‘Love You As the World Ends’ ทางเน็ตฟลิกซ์)
โดย นพปฎล พลศิลป์
สนับสนุนเราได้ที่ -:> https://facebook.com/becomesupporter/Sadaos/ หรือที่บัญชีธนาคารกสิกรไทย หมายเลข 100-2-10283-4 แล้วส่งสลิปการโอนมาที่กล่องข้อความของเพจ sadaos หรือที่อีเมล shopsadaos@gmail.com เพื่อรับของขวัญแทนคำขอบคุณ
ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านวิจารณ์หนังและเพลง ได้ด้วยการกดไลค์เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่