
ด้วยระยะเวลาที่ทอดห่างจากภาคที่แล้ว ซึ่งเป็นหนังเรื่องที่สี่ในชุด ทำให้การกลับมาของ ‘Scream’ ในปี 2020 ไม่ต่างไปจากการพบเพื่อนเก่า ที่หายหน้าหายตาไปนาน ซึ่งด้วยระยะเวลาขนาดนี้ ถือว่าเป็นช่วงเวลาสวย ๆ เลยสำหรับความคิดถึง และทำให้ไม่รู้สึกซ้ำซาก ทั้ง ๆ ที่เพื่อนเก่ารายนี้ จะว่าไปแล้วกลับมาในแบบที่แทบไม่ต่างไปจากเดิมสักเท่าไหร่ นิสัยใจคอละม้ายเดิม อาจจะมีเพิ่มเติมเรื่องเสื้อผ้า ที่มาแบบอัพเดตเล็กน้อย และมุมมองบางอย่างที่เปลี่ยนไปบ้าง
หนังเริ่มต้นด้วยเหตุการณ์ที่ไม่ต่างไปจากการทำซ้ำ ฉากเปิดสุดคลาสสิกของหนังภาคแรก โดยเรื่องราวยังอยู่ในเมืองวูดส์โบโร ตัวละครหญิงวัยรุ่นอยู่บ้านคนเดียวเพียงลำพัง มีสายแปลก ๆ โทรมา ก่อนที่เธอจะตกเป็นเหยื่อของเจ้าหน้าผี แต่หนนี้ที่แตกต่างไปก็คือ เธอไม่ตาย และข่าวการถูกทำร้ายของเธอก็ไปถึงพี่สาวผู้ห่างเหิน ที่รีบเดินทางมาพบเธอที่โรงพยาบาลทันที พร้อมกับแฟนหนุ่ม ที่ตามด้วยการเปิดเผยความจริงอันน่าตระหนกของครอบครับ ที่ทำให้แม่ต้องแยกทางกับพ่อ และพี่สาวกลายเป็นคนเสเพล ก่อนจะหนีไปอยู่ในอีกเมืองหนึ่งจนถึงทุกวันนี้
ขณะที่บรรดาเพื่อน ๆ ของเหยื่อที่รอดตายอย่างหวุดหวิด ก็พยายามหาตัวคนร้าย รวมไปถึงตั้งข้อสงสัยว่าใครกันที่เป็นเจ้าหน้าผี ซึ่งมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตเป็นมูลฐาน และมี ‘Stab’ หนังเชือดภาคต่อ ที่สร้างจากเรื่องราวในวูดส์โบโรเป็นเบาะแส ที่ไป ๆ มาๆ บรรดาเพื่อน ๆ ของเหยื่อนั่นละ ต่างก็มีความน่าสงสัยไปซะทุกคน แล้วระหว่างนั้นเอง ผู้คนที่เกี่ยวพันกับเหตุการณ์ หรือผู้คนจากหนังต้นฉบับถูกเก็บไปทีละรายสองราย รวมถึงดึงคนสำคัญที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งกระโน่น ดิวอี ไรลีย์ อดีตนายอำเภอของเมือง และแฟนเก่าของเกล เวเธอร์ เข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วเมื่อข่าวครั้งนี้ กลายเป็นข่าวใหญ่ คนที่ต้องเดินทางมาทำข่าวก็ไม่ใช่ใครอื่น เวเธอร์ และแน่นอน เรื่องราวครั้งนี้ย่อมกวนอกกวนใจซิดนีย์ เพรสส์ค็อตต์ ด้วยเช่นกัน
ท้ายที่สุดนอกจากหนังจะทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนกับเป็นงานคืนสู่เหย้าแล้ว เรื่องราวของมันก็เป็นการจัดงานรียูเนียนให้กับตัวละครจากภาคก่อน ๆ ด้วยเช่นกัน
หนังยังคงเสน่ห์จากการเป็นงานเชือดที่มาพร้อมอารมณ์ขัน หยิบจับปม, เสน่ห์ หรือลูกเล่นในหนังเชือดทั้งหลาย หรืองานสยองขวัญมาใช้ ทั้งในแง่ของการล้อเลียน, เสียดสี, จิกกัด และยกย่อง โดยเฉพาะการสานเรื่องราวไปเป็นงานภาคต่อ ที่หนังภาคหลัง ๆ มักไม่ใส่ใจกับจุดเริ่มต้น ตัวละครที่เป็นที่มา หรือว่าคอนเซ็ปต์ตั้งต้น จนตัวงานสูญเสียความเป็นตัวเองไป
ซึ่งกับ ‘Scream’ เห็นได้ชัดว่า หนังยังเคารพและเดินตามคอนเซ็ปต์ตั้งแต่แรกเริ่ม ตัวละครต้นฉบับกลับมา และมีความสำคัญ โดยเรื่องราวมีบิดไปบ้างตามความเหมาะสม เช่น เหยื่อรายแรก ไม่ได้หมดลมหายใจไปตั้งแต่ต้น ความสัมพันธ์ของตัวละครเดิม ๆ พัฒนาไปจากที่เคยเป็น ดิวอียังจมอยู่กับความรักที่ล้มเหลว ซิดนีย์ยังมีเรื่องราวในอดีตทำให้กังวลใจ เกลก็ยังมีอะไรค้างคากับดิวอี ซึงทัศนคติของพวกเขาก็ปรับเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
แล้วก็ได้ตัวละครใหม่ ๆ มาทำให้หนังมีความสด และถูกใช้เป็นตัวละครผู้น่าสงสัยอย่างได้ผล ด้วยความที่พวกเขาไม่ใช่ตัวละครที่ผู้ชมรับรู้ปูมหลังเป็นอย่าง ซึ่งแต่ละคนก็ทำให้หนังขับเคลื่อนไปได้อย่างที่ควรจะเป็น ถึงในแง่ของการปิดเม้มตัวร้ายของเรื่อง กับคนที่ดูหนังชุดนี้มาตั้งแต่ต้น ไม่ใช่เรื่องยากเกินคาดเดาให้ถูกเลย ว่าใครคือไอ้หน้าผี แต่กับพลัง หรือความแข็งแรงนั้น ยังอยู่ห่างจากบรรดาตัวพ่อ-ตัวแม่ของต้นฉบับอีกหลายระยะ ซึ่งสัมผัสได้ทันทีตั้งแต่ได้เห็นเขาหรือพวกเธอปรากฏตัว
ทำให้รู้สึกได้ว่า แม้การเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นยังสนุก และน่าติดตาม แต่เมื่อถึงเวลาสำคัญ หนังก็ต้องการสิ่งที่เรียกว่าราศี หรือรัศมี มาทำให้เนื้องานจับใจ หรือโดนผู้ชมมากขึ้น และต่อให้ทำได้ดีเพียงใด บรรดานักแสดงกลุ่มใหม่ ก็ยังไม่สามารถฝากผีฝากไข้ได้ และคงยังต้องพึ่งพาบรรดาตัวละครจากต้นฉบับให้กลับมา จนกว่าชีวิตจริงของนักแสดงเหล่านี้ หรือตัวตนในหนังของพวกเขาจะหมดลมหายใจ ไม่ต่างไปจากหนัง ‘Halloween’ ที่ยังไง ๆ เจมี ลีเคอร์ทิส ต้องกลับมาล่าไมเคิล ไมเออร์ส ผู้ไม่เคยตายไปจนกว่าจะหมดลมหายใจ ไม่ว่าจะเป็นในจอหรือนอกจอ
และเนฟ แคมป์เบลล์, คอร์ตนีย์ ค็อกซ์ กับเดวิด อาร์เคว็ตต์ ก็เป็นไปไม่ต่างกัน
โดย นพปฎล พลศิลป์
เป็นกำลังใจให้ www.facebook.com/Sadaos ด้วยการสนับสนุนทางการเงิน ได้ที่บัญชีธนาคารกสิกรไทย หมายเลข 100-2-10283-4 แล้วส่งสลิปการโอนมาที่ shopsadaos@gmail.com เพื่อรับของขวัญแทนคำขอบคุณให้ผู้สนับสนุนที่โชคดีเป็นประจำทุกเดือน
ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านวิจารณ์หนังและเพลง ได้ด้วยการกดไลค์เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่