นักล่าฆ่าหัวที่ปรากฏตัวครั้งแรกใน ‘Star Wars Episode V: The Empire Strikes Back’ ผู้ตามล่าฮัน โซโล แล้วจับแช่แข็งนำส่งแจ็บบา เดอะ ฮัต มาเฟียใหญ่แห่งทาทูอีน ถือเป็นตัวละครที่แม้จะมีบทบาทน้อย แต่ด้วยภาพลักษณ์และการกล่าวขวัญถึงในเรื่อง โบบา เฟ็ตต์คือตัวละครที่แฟน ‘Star Wars’ จดจำได้อีกราย
ต่อให้ถึงจุดจบอย่างง่ายดายเหลือเกิน มีอายุอานามถึงแค่ช่วงต้น ๆ เรื่องของ ‘Star Wars Episode VI: Return of the Jedi’ ยังไม่ได้เห็นฤทธิ์เห็นเดชอะไรกันเยอะแยะ แต่แฟน ๆ ก็มีความทรงจำที่ดีกับตัวละครสีเทา ๆ เกือบดำรายนี้ แล้วด้วยความลึกลับ (หรืออาจจะด้วยรายละเอียด ความเป็นมาที่มีน้อยเหลือเกิน) โบบา เฟ็ตต์เป็นตัวละครอีกคนที่มีเสน่ห์ และ ‘น่าจะ’ มีเรื่องราวอีกมากมายให้นำมาเล่า
เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ ที่โบบา เฟ็ตต์จะมีเรื่องราวของตัวเอง โดยเฉพาะหลังปรากฏตัวในซีรีส์ ‘The Mandalorian’ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสืบต่อจาก ‘Return of the Jedi’ ที่นอกจากจะเซอร์ไพรส์แฟน ๆ อย่างได้ผล ยังได้เสียงตอบรับที่ดี
‘The Book of Boba Fett’ เปิดเรื่องมาได้น่าสนใจ ไม่ได้ย้อนไปไกลถึงความเป็นมา แต่ต่อจากสิ่งที่ค้างคาเอาไว้ ในช่วงรอยต่อของเวลาระหว่าง ‘Return of the Jedi’ กับ ‘Star Wars Episode VII: The Force Awakens’ โดยนำเสนอสองเหตุการณ์สลับกัน หนึ่งคือการกลับมาหลังจากใคร ๆ คิดว่าตายไปแล้ว เมื่อตกลงไปในปากของหนอนยักษ์แห่งทาทูอีน – ซาร์แล็ค แต่โบบา เฟ็ตต์ (เทมูระ มอร์ริสัน) กระเสือกกระสนหนีตายสำเร็จ หากก็ถูกพวกจาวาส์ลอกคราบแบบเสียราคา ก่อนพวกทัสเคนไรเดอร์ จะมาพบและให้การช่วยเหลือ จนได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากชนพื้นเมืองทาทูอีนกลุ่มนี้
อีกเรื่องเล่าต่อตรงจาก ‘The Mandalorian’ โบบา เฟ็ตต์ กับเฟนเน็ก แชนด์ (มิง-นา เวน) นักล่าฆ่าหัวที่เขาช่วยชีวิตเอาไว้ กลายมาเป็นมือขวาของเขา บุกยึดอำนาจจากบิบ ฟอร์ทูนา คนสนิทของแจ็บบา เดอะ ฮัต ที่ขึ้นมากุมธุรกิจเถื่อนในทาทูอีนแทนเจ้านายที่ตาย (แบบง่าย ๆ จนทำลายความน่าเกรงขามที่ยกยอกันไว้ก่อนหน้าซะหมดราคา)
ทั้งสองเหตุการณ์ของโบบา เฟ็ตต์ ที่อยู่กับพวกทัสเคน ไรเดอร์ กับที่เข้ามานั่งเก้าอี้ของแจ็บบา เดอะ ฮัต แม้จะแตกต่างช่วงเวลา ต่างสภาพแวดล้อม และต่างสถานการณ์ แต่ก็มีความเหมือนกันตรงที่ตัวละครได้เรียนรู้ ทำความรู้จักกับโลกใบใหม่ จากการใช้ชีวิตในทะเลทราย การมีถิ่นฐาน มาสู่การต่อสู้แย่งชิงอำนาจ ชิงไหวชิงพริบของคนกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งการอยู่ในโลกของทัสเคนไรเดอร์ก็คือตัวกระตุ้นให้โบบา เฟ็ตต์ได้รู้จักการใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่น ๆ การมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง และ ‘น่าจะ’ ส่งผลให้เขาอยากลงหลักปักฐาน ที่เป็นการยึดอำนาจของบิบ ฟอร์ทูนา และหาทางปกครองประสานผลประโยชน์ของกลุ่มต่าง ๆ ในเมืองมอส เอสปา ของทาทูอีนในเวลาต่อมา
ที่มองว่าเป็นพัฒนาการของโบบา เฟ็ตต์ก็ถือว่าชัด จากนักล่าค่าหัวที่ลอยไปลอยมา ไม่มีฝั่งฝ่ายชัดเจนในแกแล็กซี ด้วยวัยบางทีมันก็ถึงช่วงเวลาแล้วที่เขาน่าจะหยุด โดยเฉพาะในช่วงที่แกแล็กซีอยู่เกิดภาวะสุญญากาศ พวกจักรวรรดิยังไม่หมดอำนาจไปซะทีเดียว ขบถแม้จะชนะก็ไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หรือว่ามีความเข้มแข็ง ใครที่กุมอำนาจ ใครที่ครอบครองพื้นที่ได้ก่อน ก็คือคนที่จะได้ผลประโยชน์มากที่สุด
จาก ‘The Mandalorian’ ที่เหมือนเป็นซามูไรพ่อลูกอ่อน ผสมกับงานคาวบอยตะวันตกในโลกของ ‘Star Wars’ ด้วยฉากหลังที่เต็มไปด้วยทะเลทรายของทาทูอีน ‘The Book of Boba Fett’ อาจสลัดหลุดความเป็นหนังตะวันตกไม่พ้น แต่กับเรื่องการแย่งอำนาจระหว่างแก๊งต่าง ๆ ในมอส เอสปาที่ต่างก็มีพื้นที่ มีเขตแดนของกันและกัน ตัวเรื่องถือว่ามีที่ทางของตัวเอง เป็นงานแกงสเตอร์ แต่หลังจากที่ชีวิตโบบา เฟ็ตต์ เหลือเรื่องให้เล่าเพียงเรื่องเดียว ไม่ใช่แค่ความซับซ้อนในการเล่าเรื่องจะหายไป ความเข้มข้น น่าติดตามก็วูบไปด้วย เมื่อเรื่องราววนเวียนอยู่กับการเจรจาของเฟ็ตต์กับฝ่ายโน้น-นี้-นั้น การลอบสังหาร
กระทั่งตัวแสบที่อยู่เบื้องหลังจริง ๆ โผล่มา เรื่องก็ขยับเดินหน้าอีกครั้ง แต่ความโดดเด่นไม่ได้อยู่ที่เฟ็ตต์ กลับเป็นกลุ่มตัวละครจาก ‘The Mandalorian’ และหนังชุด ‘Star Wars’ คนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นแมนโด (เปโดร พาสคัล), โกรกู ที่ยังพ่วงด้วยลุค สกายวอลเกอร์ (มาร์ค แฮมิลล์) และอะโชกา (โรซาริโอ ดอว์สัน) รวมถึงค็อบบ์ แวนธ์ (ทิโมธี โอลิแฟนต์) นายอำเภอแห่งเมืองฟรีทาวน์ของทาทูอีน
ตอนสุดท้ายของซีรีส์ มาพร้อมฉากแอ็กชันที่มีสารพัดในสไตล์ของโรเบิร์ต ร็อดริเกวซ เมื่อเต็มไปด้วยความหลากหลาย มีทั้งฉากไล่ล่า การปะทะกันซึ่ง ๆ หน้า สัตว์ประหลาด และพลังแห่งเจได ทุกอย่างเทใส่เข้ามาหมด อาจจะสนุกและมีชีวิตชีวากว่าตอนก่อน ๆ หน้า แต่มันก็กลบทิศทางการเล่าเรื่องที่หนังวางไว้ในตอนต้น และไม่รู้สึกว่านี่คือเรื่องราวของโบบา เฟ็ตต์อีกต่อไป เมื่อตัวละครอื่น ๆ ชิงความโดดเด่นจากเจ้าของเรื่องไปจนหมด
ที่ไม่ต่างจากการแสดงให้เห็นว่า โบบา เฟ็ตต์ในซีรีส์เรื่องนี้ ไม่ได้ถูกนำเสนอได้แข็งแรงพอที่จะเป็นตัวนำของเรื่องได้สำเร็จ แถมยังถูกกลบหาย เช่นเดียวกับแก๊งของพวกเขา อย่าง ก๊วนเด็กแวนซ์ที่เหมือนจะเป็นความจัดจ้านให้เรื่องได้ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
ตัวละครเองอาจจะอยากจะพัก เบื่อหน่าย (หรือล้า) กับการเดินทางไล่ล่า โรยรา และได้เรียนรู้ว่าชีวิตก็อยู่นิ่ง ๆ ได้จากการใช้ชีวิตกับพวกทัสเคนไรเดอร์ แต่ก็เป็นคนละเรื่องกับการขึ้นจอแบบขาดพลัง เทมูระ มอร์ริสัน เป็นเฟ็ตต์ที่ต้องการความสงบในชีวิตได้ดี แต่ก็ปราศจากรังสีอำมหิตในตัว ไม่รู้สึกถึงความเด็ดขาด ความแข็งแกร่ง ที่ไป ๆ มา ๆ มือขวาอย่างแชนด์ดูจะให้ได้มากกว่า แล้วก็ไร้เสน่ห์ ไม่เท่ หรือน่าเกรงขาม อย่างที่ตัวละครรายนี้ควรจะเป็น ที่จะว่าไปแล้ว ค็อบบ์ แวนธ์ ยังให้ได้มากกว่าด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงตัวละครอย่างลุค, อะโชกา หรือว่าโกรกู
หนังมีฉากแอ็กชันที่ดูใหญ่ หวือหวา ให้ชมเป็นระยะ ๆ มีฉากที่ดูดีอย่างการปล้นรถขนเครื่องเทศของพวกไพก์ โดยทัสเคนไรเดอร์กับโบบา เฟ็ตต์, ฉากดวลปืนของค็อบบ์ แวนธ์กับแคด เบน หรือฉากแอ็กชันยาว ๆ ตอนสุดท้ายของซีรีส์ การปรากฏตัวของตัวละครที่แฟน ๆ รัก รวมถึงที่เป็นเซอร์ไพรส์ อย่าง แดนนี เทรโฮ นักแสดงขาประจำของร็อดริเกวซ ในบทคนเลี้ยงแรนคอร์ แต่ทั้งหมดทั้งมวลช่วยได้แค่ให้ความตื่นตาเป็นพัก ๆ
เรื่องราวทั้งหมดของ ‘The Book of Boba Fett’ ไม่ได้ทำให้คนดูรู้จัก รักหรือหลงตัวละครตัวนี้มากขึ้นสักเท่าไหร่ ยิ่งไปกว่านั้นยังทำลายภาพจำดี ๆ ที่มีต่อตัวละครเทา ๆ รายนี้ ซึ่งมีความพยายามซักล้าง ทำให้สะอาด กลายเป็นคนดี ที่เป็นการทำลายความเท่ และเสน่ห์ของโบบา เฟ็ตต์ยับเยิน
ผู้สร้างสรรค์: จอน แฟฟโร นักแสดง: เทมูระ มอร์ริสัน, มิง-นา เวน, เปโดร พาสคัล,เดวิด พาสเควซี, เจนนิเฟอร์ บีลส์, แครีย์ โจนส์, จอร์แดน บอลเกอร์
โดย นพปฎล พลศิลป์ นิตยสารสีสัน ปีที่ 33 ฉบับที่ 6 มิถุนายน 2656 (2022)
ให้กำลังใจและสนับสนุนเราได้ที่บัญชีธนาคารกสิกรไทย หมายเลข 100-2-10283-4 แล้วแจ้งมาที่กล่องข้อความของเพจ sadaos หรือที่อีเมล shopsadaos@gmail.com เพื่อรับของขวัญแทนน้ำใจ
ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านวิจารณ์หนังและเพลง ได้ด้วยการกดไลค์เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่