
จากเรื่องสั้นชื่อเดียวกันของโจ ฮิลล์ เมื่อปี 2004 กลายเป็นงานกำกับของสก็อตต์ เดอร์ริคสัน ที่ถอนตัวออกมาจากการทำงานในหนังมาร์เวล Doctor Strange in the Multiverse of Madness และเป็นการกลับมาทำงานกับบลัมเฮาส์ บ้านอันเลื่องชื่อของหนังสยองและงานระทึกขวัญในยุคนี้ รวมถึงเป็นการร่วมงานกับอีธาน ฮอว์กอีกหนหลังจาก Sinister เมื่อหลายปีก่อน
หนังเป็นเรื่องของฟินนีย์ เด็กชายในโรงเรียนไฮสคูล ที่ใช้ชีวิตอยู่กับเกว็น น้องสาวที่สามารถฝันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงได้ ทั้งคู่อยู่กับพ่อขี้เมา ชอบใช้ความรุนแรงกับลูก ๆ ในเมืองที่มีเด็ก ๆ ถูกลักพาตัวอย่างต่อเนื่อง โดยคนที่ถูกตั้งฉายาว่า “นักฉุด” (The Grabber) ซึ่งเบาะแสเดียวที่ทิ้งเอาไว้ก็คือ ลูกโป่งสีดำ
นอกจากต้องเผชิญหน้ากับพ่อที่ต้องการความเงียบสงบในบ้าน ฟินนีย์ยังถูกกลั่นแกล้งจากพวกเด็กตัวแสบในโรงเรียนเป็นประจำ โดยที่ตัวเองไม่พยายามต่อสู้ หรือขัดขืน ทำได้แค่พยายามหนี ซึ่งก็ไม่ใช่ทุกครั้งที่รอดจากการโดนทำร้าย และในหลาย ๆ ครั้งเขาก็ได้รับความช่วยเหลือจากน้องสาว ที่ห้าวกว่าตัวเองเยอะ หรือเพื่อน (ที่เขาไม่ค่อยมี) บางคน อย่าง โรบิน อาร์ญาโน เด็กเม็กซิกัน ที่เขาไปติวเลขให้ในบางครั้ง
และในที่สุดก็ถึงคิวของฟินนีย์ที่จะโดนนักฉุดเล่นงาน มันจับเขาไปขังไว้ในห้องใต้ดิน ที่มีห้องน้ำ และโทรศัพท์สีดำที่ไม่ได้เดินสายทิ้งเอาไว้ ดูเหมือนว่าชีวิตของฟินนีย์จะทำได้แค่รอคำพิพากษาจากนักฉุด ที่กำลังพยายามเล่นเกมบางอย่างกับเขา แต่เมื่อเสียงโทรศัพท์สีดำดังขึ้นมา ที่ทำให้ฟินนีย์ได้มีโอกาสสนทนากับปลายสายในอีกด้านหนึ่ง ชีวิตของเขาก็ราวกับได้เจอแสงสว่างที่ลอดออกมาจากประตูบานเล็ก ๆ
และความสนุก เข้มข้น แบบลุ้นได้ตลอดของหนัง ก็เริ่มต้นจากตรงนี้ หลังที่เปิดเรื่องราวมาในด้วยความสะเทือนใจกับปัญหาภัยคุกคาม หรือที่เรียกกันว่าบูลลี่ (Bully) ในโรงเรียน รวมไปถึงภายในครอบครัว จากผู้ปกครองที่ไม่ทำความเข้าใจกับเด็ก โดยเฉพาะพ่อของฟินนีย์กับเกว็นที่พยายามทำให้ความสามารถพิเศษของลูกสาว เป็นเรื่องที่ไม่มีอยู่จริง และไม่คิดจะเรียนรู้ หรือหาทางทำให้เป็นประโยชน์ขึ้นมา ซึ่งหนังบอกเป็นนัย ๆ ว่า แม่ของเกว็นมีความสามารถนี้เช่นกัน และนำไปสู่สถานการณ์เลวร้ายในชีวิจของเธอกับสามี
ด้วยชีวิตอย่างที่เป็น หนังทำให้ตัวละครสองพี่น้องตกอยู่ในสภาพของเหยื่อตั้งแต่เริ่มต้น โดยเฉพาะฟินนีย์ที่ไม่คิดหาทางสู้ หรือพยายามช่วยเหลือตัวเองได้ดีกว่านั้น แต่แม้จะสัมผัสได้ถึงความซองมอยในชีวิตของพวกเขา ทั้งสองคนก็ยังพอจะมีแสงสว่างหรือความสุขอยู่บ้าง จากการที่ต่างมีกันและกัน แล้วกับฟินนีย์ก็ยังมีด้านดี ๆ อย่าง ดอนนา เด็กสาวที่เขาแอบปิ๊ง หรือโรบิน ที่กลายเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยเขา และเข้าใจชีวิตแบบอันเดอร์ด็อกของฟินนีย์
ทำให้ผู้ชมรู้สึกสงสาร เห็นใจตัวละครได้อย่างง่ายดาย โดยใช้เวลาไม่มากนัก ซึ่งรวมไปถึงภาพลักษณ์ของทั้งสองพี่น้อง ซึ่งต่างก็เป็นเด็กที่มีเสน่ห์ด้วยกันทั้งคู่ ที่ต้องให้เครดิตกับการเลือกนักแสดง รวมไปถึงการแสดงของเมสัน โธมัส และมาเดอเลน แม็กกรอว์ ที่เล่นเป็นฟินนีย์และเกว็นตามลำดับ
ที่เมื่อตัวละครตกอยู่สภาพคับขัน ผู้ชมก็พร้อมใจกันเอาใจช่วย ทั้งให้เกว็นได้ฝันเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่ชาย และให้ฟินนีย์เอาตัวรอดได้จากคำแนะนำที่ได้รับจากโทรศัพท์สีดำ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นหนทางในการเอาตัวรอดจากห้องนี้ กับวิธีมีชีวิตให้นานที่สุดในการเผชิญหน้ากับนักฉุด โดยในแต่ละครั้งล้วนทำให้ผู้ชมมีความหวังวาบขึ้นมา ไม่ต่างไปจากฟินนีย์ แต่แล้วก็ดับวูบลงไปทุกที หากท้ายที่สุด มันก็ไม่ใช่คำแนะนำที่เปล่าประโยชน์ไปซะทีเดียว เมื่อมันทำให้ฟินนีย์มีพลังขึ้นมา และกล้าที่จะลุกขึ้นสู้เมื่อถึงตาจน โดยใช้ “สิ่งต่าง ๆ” ที่พบเป็นประโยชน์ให้มากที่สุด
หากจะบอกว่า นี่คือเหตุการณ์ที่ทำให้เขาเป็นตัวละครในแบบก้าวพ้นวัย เป็นประสบการณ์ที่ทำให้ฟินนีย์เติบโตไปอีกขั้น มีมุมมองในชีวิตที่แตกต่างไปจากเดิม และคนรอบข้างก็มองเขาด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปก็คงไม่ผิด ที่ไม่ต่างไปจากคำตอบของการเอาชนะความรุนแรงในโรงเรียน ที่ต้องทำให้ตัวเองเป็นคนที่ “เหนือ” กว่าคนเหล่านั้น เป็นคำตอบให้กับพ่อของสองพี่น้อง ว่าการรับมือกับความสามารถบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ ก็คือการยอมรับและเข้าใจมัน
หนังได้โครงเรื่องที่ดีเป็นทุน (เมื่อมองว่าหนังได้รับยกย่องว่า ซื่อสัตย์ต่อบทประพันธ์) โดยเฉพาะปมแต่ละอย่าง คำแนะนำแต่ละครั้งที่ฟินนีย์ได้รับจากปลายสายของโทรศัพท์สีดำ ที่สร้างเหตุการณ์ลุ้น ๆ ให้ระทึกได้แทบทุกครั้ง รวมถึงนำไปสู่สถานการณ์หักมุม เรื่องราวที่ทำให้มีความหวังและสิ้นหวังสลับกันไป ที่มาถึงตอนสุดท้าย บทก็เก็บรวบรวมทุกอย่างที่เหมือนกระจัดกระจายมาไว้รวมกันได้หมด และดูน่าเชื่อถือ (อย่างน้อยก็ไม่ถึงกับดูเวอร์วังมากนัก) เช่นเดียวกับการเล่าเรื่อง ที่ทำให้สถานการณ์ดูหดหู่ สิ้นหวัง ช่วยทำให้ข้อมูลแต่ละครั้งที่ฟินนีย์ได้รับจากปลายสายโทรศัพท์สีดำ หรือความฝันที่เกว็นรับรู้ มีค่า และมีพลังเป็นพิเศษ เช่นเดียวกับตัวเรื่องที่ยังมีลูกเล่น ล่อหลอกทั้งคนดู และตัวละครในตอนท้าย ที่กลายเป็นเซอร์ไพรส์ทั้งใหญ่และเล็ก ตลอดจนการใช้เพลงร็อกเก่า ๆ จากปลายยุค ‘70s ต่อต้นยุค ‘80s ที่นอกจากจะเข้ากับยุคสมัยในเรื่อง แต่ยังมีกลิ่นอายของงานสยองรุ่นเก่า ไม่ต่างไปจาก It หรือว่าบรรดาหนังเก่าคลาสสิกจากยุคนั้น
แม้อาจจะไม่ค่อยชัดเจนนักในเรื่องความเป็นไปของพ่อกับแม่ แต่ก็แสดงออกเป็นนัย ๆ ให้รับรู้ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและเห็นเป็นประจำในหนังทำนอง ที่บางอย่างรู้แบบคลุมเครือดูมีเสน่ห์มากกว่าความแจ่มแจ้ง และที่สำคัญสิ่งที่หนังต้องการนำเสนอไม่ได้อยู่ตรงนั้น เช่นเดียวกับความบันเทิงที่มอบให้
แล้วด้วยลูกเล่นของเรื่อง บทที่เก็บได้หมด และแน่นอนการเล่าเรื่องที่ทำได้เยี่ยม รวมถึงการแสดงของนักแสดงหลัก ๆ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ๆ หรืออีธาน ฮอว์ก ที่การแสดงออกโดยใช้เสียงเป็นหลักของเขา ที่แสดงให้เห็นศักยภาพอีกด้านหนึ่งของนักแสดงรายนี้ ก็ช่วยส่งหนังที่พล็อตดูพื้น ๆ ง่าย ๆ เด็กโดนลักพาตัวไปกลายเป็นงานที่ดูสนุก ลุ้นไปได้จนจบ พร้อมที่จะปรบมือให้ได้สำเร็จ
นพปฎล พลศิลป์
ให้กำลังใจและสนับสนุนเราได้ที่บัญชีธนาคารกสิกรไทย หมายเลข 100-2-10283-4 แล้วแจ้งมาที่กล่องข้อความของเพจ sadaos หรือที่อีเมล shopsadaos@gmail.com เพื่อรับของขวัญแทนน้ำใจ
ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านวิจารณ์หนังและเพลง ได้ด้วยการกดไลค์เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่