![](https://www.sadaos.com/wp-content/uploads/2024/02/the_goldfinger-web.jpg)
แม้จะมีผลงานออกมาหนังจอใหญ่อย่างต่อเนื่องทั้งคู่ แต่ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่า หลังจาก ‘Infernal Affairs’ แล้ว เหลียงเฉาเหว่ยกับหลิวเต๋อหัว จะไม่มีหนังฉายโรงเล่นประกบกันอีกเลย จนมาถึงเรื่องนี้ ที่ถือว่าเป็นโปรแกรมใหญ่ส่งท้ายปี 2566 และรับตรุษจีนในบ้านเรา ที่หนนี้มีการสลับฝั่งสลับฝ่ายจากที่เห็นในหนังเรื่องก่อนหน้า เมื่อเหลียงเฉาเหว่ยจะกลายเป็นคนร้าย และหลิวเต๋อหัวจะรับบทคนดี
เหลียงเฉาเหว่ยเล่นเป็นชิงยัดยิน ที่ขอเรียกง่าย ๆ ว่าเป็นเจ้าพ่อตลาดหุ้น เป็นประธานบริษัทคาร์เมน เอนเตอร์ไพรส์ที่มีบริษัทในเครืออีกมากมาย ที่ถูกคณะกรรมการอิสระต่อต้านการคอร์รัปชันของฮ่องกง ภายใต้การนำของหลิวไคหยวน (หลิวเต๋อหัว) ทำการสอบสวน หลังบริษัทล้มภายในเวลาอย่างรวดเร็วหลังจากรุ่งเรืองเฟื่องฟูได้ไม่นาน ซึ่งการพิจารณาคดีทำกันอย่างยาวนานกินเวลาถึง 15 ปีกว่าจะจบสิ้นลง และเกี่ยวพันกับผู้คนตลอดจนองค์กรต่าง ๆ มากมาย ทั้งในแวดวงธุรกิจ, แวดวงสังคม รวมถึงแวดวงการเมือง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขณะที่การดำเนินธุรกิจของบริษัทก็มีทั้งบนดินและใต้ดิน
ที่มาของเรื่องราวในหนังก็คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในฮ่องกงตอนต้นยุค 80 ที่กลุ่มบริษัทคาร์เรียนซึ่งเติบโตอย่างผิดหูผิดตาในเวลาอันรวดเร็ว ล่มสลายในระยะเวลาอันสั้น โดยกินเวลาน้อยกว่าการดำเนินคดีของพวกเขาด้วยซ้ำไป
ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานของเหตุการณ์ และมีผู้คนที่เกี่ยวข้องยุ่บยั่บเต็มไปหมด ตัวละครในเรื่องจึงมีมากมาย แล้วฉากหลังที่เป็นเหตุการณ์ในแวดวงธุรกิจ เป็นเรื่องในตลาดหุ้น ไม่ใช่ในโลกมาเฟีย เช่น ‘Infernal Affairs’ แม้จะเต็มไปด้วยการชิงไหวชิงพริบกันของสองตัวละครหลักที่เหลียงเฉาเหว่ยกับหลิวเต๋อหัวรับบท แต่มันก็เป็นการต่อสู้กันด้วยชั้นเชิงทางกฏหมาย ไม่ใช่การต่อสู้ทางร่างกาย อาวุไม่ใช่ปืนหรือชั้นเชิงการต่อสู้ แต่เป็นคำให้การของตัวละครหลักและผู้เกี่ยวข้อง หนังจึงเต็มไปด้วยบทสนทนามากมาย มีการโยงใยผู้คนสารพัดเข้ามา ที่มีแทรกฉากแอ็กชันเล็ก ๆ บ้าง แต่ก็ไม่ได้กระตุ้นหรือส่งผลกับโทนรวมของหนัง ที่พยายามนำเสนอตัวเองให้เดูขึงขัง เคร่งเครียด มีฉากปะทะคารมและอารมณ์เด่น ๆ อยู่หลายฉาก รวมถึงเป็นงานที่ “ขาย” ความสามารถทางด้านการแสดงของนักแสดงในเรื่องได้จริง ๆ และถือเป็นจุดแข็งของหนัง โดยถ้าอยากเห็นการประบทของเหลียงเฉาเหว่ยและหลิวเต๋อหัว ก็ต้องบอกว่าคุ้มค่าทั้งปริมาณและคุณภาพ
แต่หากจะเอาความสนุกของเรื่องราว ความเข้มข้นของเนื้อหา บทของเฟลิกซ์ ชองผู้กำกับและเขียนบทหนังเรื่องนี้ ที่เคยร่วมเขียนบท “Infernal Affairs’ ทั้งสามภาคกับอลัน มัค ทำงานได้ไม่ดีนัก เมื่อจัดการกับตัวละครและเหตุการณ์ที่เยอะและแยะไม่ดีนัก ตัวละครก็เต็มไปด้วยคนที่จู่ ๆ ก็มาแล้วจู่ ๆ ก็หายไปเฉย ๆ ความสัมพันธ์ก็ดูห่างเหิน อย่าง การตัดสินใจทำสิ่งต่าง ๆ ของตัวละครก็ดูง่าย บางครั้งก็ดูไร้เหตุผล ทั้งที่แต่ละอย่างผลาญเงินทองไปไม่น้อย หรือต้องใช้กำลังใต้ดินระดับโคตรมาเฟีย เช่นเดียวกับการตัดสินใจ ส่วนหนึ่งที่ทำให้เป็นเช่นนั้น ก็คงไม่พ้นปูมหลังของตัวละครที่ดูบางเบา ซึ่งส่งผลให้การแสดงที่ดูดีงาม เป็นความดีงามเพียงเห็น เพราะหากคิดตาม เอาแค่ตัวละครหลักของเหลียงเฉาเหว่ย ที่เหมือนจะมีปูมหลังแต่เอาจริง ๆ พอไม่มีกระบวนการให้รับรู้อย่างจริง ๆ จัง ๆ มันก็ขาดความน่าเชื่อถือ ทั้งความเก่งกาจในเรื่องการเจรจาพาที ทั้งความเป็นคนอำมหิต ที่อยู่เบื้องหลังการเสียชีวิตของผู้คน
ไม่แปลกที่รู้สึกว่า ความหนักแน่นของเหตุการณ์ต่าง ๆ การกระทำของผู้คนจะลอยหวิว บางครั้งรู้สึกราวกับเป็นการจับแพะชนแกะด้วยซ้ำ โดยเฉพาะในช่วงท้าย ที่สถานการณ์ซึ่งน่าจะคับขัน กดดันตัวละคร กลับถูกเล่าด้วย “อีก 8 ปีต่อมา”, “อีก 5 ปีต่อมา” จนเหมือนกำลังจะหมดเวลาแล้วต้องรีบเล่าให้จบ หรือคลังข้อมูลที่มีหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือแล้ว
หนังมาในลักษณะเดียวกับหนังอัตชีวประวัติอย่าง ‘Napoleon’ นั่นคือ มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง นำเสนอคนที่เกี่ยวข้อง ถ้าไม่ครบก็ใกล้เคียงมาก ๆ แต่หากต้องการความหนักแน่น รายละเอียด คงต้องไปหาข้อมูล หรือทำความรู้จักก่อนชม ซึ่งด้วยโทนของหนัง บรรยากาศของงาน ที่ตัวละครและเหตุการณ์อยู่ในโลกเดียวกับ ‘The Wolf of Wall Street’ โดยเฉพาะแคเร็คเตอร์ของเหลียวเฉาเหว่ย ที่ทำให้นึกถึงตัวละครของลีโอนาร์ดด ดิคาพรีโอ แต่ขณะที่ ‘Napoleon’ ขึ้นจอโดยมีอารมณ์กวน ‘Teen’ ของริดลีย์ สก็อตต์ผสม ไม่คิดอยากเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ฉบับภาพยนตร์ ยังดูแบบหัวเราะหึ ๆ อมยิ้มไปด้วยได้ ไม่ว่าจะรู้จักนโปเลียนหรือไม่ก็ตามที และ ‘The Wolf of Wall Street’ เล่าเรื่องได้มันส์ แซ่บ มีสีสันทุกอณู แต่ ‘The Goldfinger’ ที่พอรู้เรื่องจริง ๆ แล้วกลับมาดูซ้ำ ไม่แน่ว่าจะเกิดความสนุกหรือคิดแย้งในใจ แบบไหนที่มากกว่ากัน โดยไม่ต้องพูดถึงความฉูดฉาดจัดจ้านในการเล่าเรื่อง
ส่วนการดูแบบไม่รู้อะไรเลยนั้น ถ้าไม่มีสองเฮียและการแสดงของคนอื่น ๆ กับบรรยากาศที่ดูเหมือนจะ “มีอะไร” ให้รู้สึก มาอุ้ม คงเหมือนโดนนิ้วทองดีดนิ้วเป๊าะแบบธานอสวูบวับไปกับตา
โดย นพปฎล พลศิลป์
ให้กำลังใจและสนับสนุนเราได้ที่บัญชีธนาคารกสิกรไทย หมายเลข 100-2-10283-4 แล้วแจ้งมาที่กล่องข้อความของเพจ sadaos หรือที่อีเมล shopsadaos@gmail.com เพื่อรับของขวัญแทนน้ำใจ
ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านวิจารณ์หนังและเพลง ได้ด้วยการกดไลค์เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่