THE HUNGER GAMES: MOCKINGJAY PART 2: ในที่สุดเรื่องราวของแคทนิส เอเวอร์ดีน ก็เดินทางถึงบทสรุปจบสมบูรณ์ หลังจากผ่านหนังตอนที่สาม ซึ่งเป็นเรื่องราวครึ่งเล่มแรกของหนังสือภาคสุดท้าย ที่กลายเป็นหนังสองตอนจบ ที่ทำออกมาได้อย่างน่าผิดหวัง ทั้งประดัดประเดิด ยืดยาดมากความ
กับภาคต่อและเป็นภาคสุดท้ายของหนัง ผู้กำกับฟรานซิส ลอว์เรนซ์ ที่ทำหนังชุดนี้มาตั้งแต่ภาคที่สอง ถือว่าแก้ตัวได้สำเร็จ เมื่อในแง่ของความบันเทิง หนังดูสนุกขึ้น มีสถานการณ์ให้ได้ลุ้น ให้ได้ติดตาม ที่บางฉากก็ดูน่าตื่นเต้น แล้วก็มีช่วงของความเป็นดรามาที่น่าจะโดนใจได้
ที่สำคัญ หลังจากเน้นประเด็นเรื่องของการใช้สื่อเพื่อโฆษณาชวนเชื่อกันมาพักใหญ่ The Hunger Games: Mockingjay Part 2 หนังขมวดเข้าไปหาเรื่องของเกมทางการเมือง การเถลิงซึ่งอำนาจของผู้ปกครอง ที่ท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ไม่ได้คิดหรือมีมุมมองที่แตกต่างไปจากกันเลย และในบางทีอาจจะร้ายกาจยิ่งกว่าเก่าด้วยซ้ำไป โดยเป้าหมายทั้งหมดแล้ว ก็อยู่ที่การพยายามเก็บอำนาจเอาไว้อยู่กับตัวมากที่สุด ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ประชาชนคนทั่วๆ ไปที่ไม่อยู่แวดล้อม และห้อมล้อมผู้มีอำนาจเหล่านั้น ก็เป็นได้แค่เบี้ย หรือขุนให้พวกเขาใช้เดินในยามที่ต้องขิงไหวชิงพริบกันและกัน
ร้ายยิ่งไปกว่า เบื้องหลังของพวกเขาอาจมีเงาบางๆ ชักใยอยู่โดยที่พวกเขาเองอาจจะรู้หรือไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป
สารตรงนี้ของ The Hunger Games: Mockingjay Part 2 ถือว่าแข็งแรง ชัดเจน และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้หนังสามารถปิดจบลงได้อย่างสมบูรณ์
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น The Hunger Games: Mockingjay Part 2 ก็ยังมีอะไรอีกหลายๆ อย่างที่ทำไม่ได้อย่างที่ควรจะเป็น กับฉากแอ็คชันที่มี แม้พอจะเรียกความตื่นเต้น หรือทำให้ได้ลุ้นอยู่บ้าง แต่ในเรื่องของความเข้มข้น ความจริงจังนั้น ถือว่าหนังทำไม่ได้สำเร็จ เห็นได้ชัดจากฉากหนีการไล่ล่าของสัตว์กลายพันธ์ุ ที่หากไปอยู่ในมือของผู้กำกับถึงๆ น่าจะสร้างความรู้สึกอึดอัด กดดันได้มากกว่านี้ หรือกระทั่งในฉากสำคัญที่ตัวละครบางตัวต้องเสียคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตไป ก็ไม่ ‘แรง’ มากพอที่จะช็อคคนดู ไล่รวมไปถึง ฉากท้ายๆ ที่หนังเล่าเรื่องได้อย่างอ้อยอิ่ง เป็นติ่งตอนจบที่งอกแล้วงอกอีก จนกลายเป็นย้วย ไม่กระชับอย่างที่ควรจะเป็น
คำพูดที่ชัดเจนที่สุด สำหรับตรงนี้ก็คือ ผู้กำกับลอว์เรนซ์ยังทำได้ ‘ไม่ถึง’ และเมื่อมองย้อนไปถึงงานเรื่องก่อนๆ หน้าที่เขารับผิดชอบ ที่ดีที่สุดก็คือ Ctacing Fire ที่ได้ไซมอน โบฟอย มาเขียน ขณะที่หนังสองเรื่องท้ายเขาใช้ทีมงานชุดเดียวกันในการทำงาน แต่หนังกลับมีสถานการณ์ที่น่าตื่นเต้น และลุ้นระทึกยิ่งกว่ามาก
บางทีนอกจากผู้กำกับยังพาหนังไปไม่ถึงแล้ว การเดินทางจากจุดเริ่มต้นของภาพยนตร์ที่มาจากบท ก็อาจจะไม่ได้มีแรงมากพอจะพาหนังไปถึงไหนก็เป็นได้
แต่อย่างน้อย ก็ถือว่ายังเล่าเรื่องได้ครบจบสมบูรณ์ ไม่หลงประเด็น แต่ในเรื่องความเต็มแน่น อารมณ์ความรู้สึก คงต้องบอกว่า ไม่สมใจ
โดย นพปฎล พลศิลป์
ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านงานวิจารณ์หนัง และเพลง แบบนี้ ได้ด้วยการกดไลค์ Like เพจสะเด่าส์กันไว้ก่อน ได้ที่นี่