
หนังใหญ่ Star Wars สองเรื่องสุดท้าย ที่เป็นเรื่องราวใน The Skywalker Saga อาจได้รับการต้อนรับที่ไม่ดีนัก งานตอนแยก ‘Solo: A Star Wars Story’ ไม่ประสบความสำเร็จด้านรายได้ ส่วนหนังตอนหลักเรื่องสุดท้าย ‘Star Wars: Episode IX – The Rise of Skywalker’ เสียงวิจารณ์ไม่ดีสักเท่าไหร่
แต่กับงานซีรีส์ ที่ยังเป็นหนังแม่เหล็กในวันเปิดตัวของบริการสตรีมมิง ดิสนีย์พลัส ในสหรัฐอเมริกา ‘The Mandalorian’ ให้ผลลัพธ์ที่ตรงกันข้าม ตัวงานได้รับคำชม เรทติงดีสมกับเป็นซีรีส์เรื่องสำคัญในการให้บริการของสตรีมมิงเจ้าใหม่ รวมถึงกลายเป็นงานเปิดตัวซีรีส์คนแสดงของ ‘Star Wars’ ได้อย่างสวยงาม ก่อนที่จะตามด้วยฤดูฉายที่สองในปีนี้ ที่ประสบความสำเร็จไม่แพ้กัน จนมีไฟเขียวสำหรับฤดูฉายที่สามออกมาเรียบร้อย
และไม่ใช่แค่นั้น ยังเป็นการเปิดทางให้ซีรีส์ ‘Star Wars’ ตอนแยกเรื่องอื่น ๆ ถูกสร้างตามมา โดยที่ได้ไฟเขียวมาเรียบร้อยแล้วก็มี ‘The Book of Boba Fett’ และ ‘Ahsoka’
เมื่อได้ชม ก็ต้องบอกว่านี่คืองานที่ทำได้สมราคา เพราะนอกจากขยับขยายเรื่องราวของ ‘Star Wars’ ให้กว้างไกลออกไปกว่ามีแค่เรื่องของสกายวอลเกอร์ ยังมีเรื่องของคนกลุ่มอื่น ๆ ที่อยู่ตามดวงดาวต่าง ๆ ให้ได้เล่าอีกมากมายแล้ว ‘The Mandalorian’ ยังมาพร้อมกับทิศทางใหม่ ๆ ของหนังชุดนี้ เหมือนที่ ‘Rogue One: A Star Wars Story’ ขึ้นจอด้วยการเป็นหนัง ‘ฉก’ ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยการเป็นหนัง ‘สงคราม’
ส่วน ‘The Mandalorian’ ขึ้นจอด้วยการเป็นหนังตะวันตก หรือที่บ้านเราเรียกกันว่าหนังคาวบอย ที่จะบอกว่าสด ใหม่เลยก็คงไม่ถูกนัก เพราะอย่างน้อย กับสไตล์ของงานในแนวทางนี้ก็เคยถูกใช้มาก่อนแล้วใน ‘Solo: A Star Wars Story’ ที่ด้วยลักษณะของตัวละครหลักของทั้งสองเรื่องก็มีความคล้ายคลึงกัน เพราะต่างก็เป็นพวกนอกกฎหมาย ทำงานเทาๆ ไม่ได้วางตัวเป็นฝ่ายไหนชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นพวกขบถหรือจักรวรรดิ แค่อาศัยทำมากินเท่านั้นพอ ซึ่งก็เหมาะเจาะลงตัวกับการอยู่ในงานแนวทางนี้
ขณะที่เรื่องราวของฮัน โซโลเกิดขึ้นระหว่างรอยต่อของ ‘Star Wars: Episode III – Revenge of the Sith’ และ ‘Star Wars: Episode IV – A New Hope’ เรื่องราวใน ‘The Mandalorian’ จะเกิดขึ้นหลังเรื่องราวของ ‘Star Wars: Episode VI – Return of the Jedi’ ในช่วงที่แกแล็กซีกำลังอยู่ในภาวะสุญญากาศ เมื่อจักรวรรดิถูกโค่นล้ม แต่ก็ยังมีกองกำลังกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ส่วนสมาพันธ์ที่เข้ามาทำหน้าปกครองก็ยังไม่มั่นคง ตัวเอกของเรื่องคือ แมนดาลอเรียน เป็นนักล่าฆ่าหัว ที่รับงานจากสมาพันธ์เป็นหลัก แต่เมื่อต้องการเงินมากขึ้น ทำให้เลือกรับงานนอกสารบบ ที่ผู้ว่าจ้างคืออดีตพวกจักรวรรดิ ส่วนเนื้องานก็คือ การพาตัวเด็กคนหนึ่งมาให้ แมนดาลอเรียนตกลง และเรื่องราวการผจญภัยของเขา ที่เป็นการนำเสนอโลกอีกด้านหนึ่งของ ‘Star Wars’ ก็เริ่มต้นขึ้น
โดยเฉพาะเมื่อเขาเกิดผูกพันกับเด็กคนนั้น ที่ส่งผลให้ตัวเองกลายเป็นเป้าหมายของนักล่าฆ่าหัวทั่วแกแล็กซี
เช่นเดียวกับหนังหลัก การสร้างตัวละครของเรื่องทำได้ดี ไม่ว่าจะเป็นตัวของแมนดาลอเรียน และพวกพ้องที่มีความเฉพาะตัวทั้งอุปนิสัย การใช้ชีวิต ที่ในตอนแรกชวนให้คิดว่า พวกเขาคือชาวดาวแมนดาลอเรียน ก่อนที่ความจริงจะถูกเฉลยมาในตอนท้ายว่าไม่ใช่ แต่จะเป็นอะไรไปดูในเรื่องกันเอาเอง บอกใบ้แค่ว่า ทำให้พวกเขาเป็นกลุ่มคนพิเศษในแบบเดียวกับพวกซิธ หรือเจได้ ตัวละครอื่น ๆ ก็มีเสน่ห์ ไม่ว่าจะเป็น หัวหน้ากลุ่มนักล่าฆ่าหัว กรีฟ คาร์กา (คาร์ล เวเธอร์ส) ที่มาดชวนให้นึกถึงแลนโด คาริสเชียน, ควิลล์ ชาวดาวออนักต์ (นิล โนลเต ให้เสียง) ที่ให้ความช่วยเหลือแมนดาลอเรียน, ดรอยด์นักฆ่า (ให้เสียงโดยไทกา ไวตีติ) หรือ คารา ดูน (จินา คาราโน) และแน่นอน… เดอะ คิด – เด็กตัวปัญหาของเรื่อง ซึ่งหลาย ๆ คนเรียกว่า เบบีโยดา
ตัวเรื่องที่เป็นตอน ๆ ก็มีเส้นที่เชื่อมโยงกันเอาไว้ ไม่ใช่แค่การตามล่า หรือว่าหลบหนี เป็นครั้ง ๆ คราว ๆ และในแต่ละตอนก็ทำให้ได้รู้จักตัวละครหลักมากขึ้น ผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่าง เช่นเมื่อครั้งที่แมนดาลอเรียนไปรับงานช่วยชาวบ้านจัดการกับกลุ่มโจร ที่ทำให้นึกถึงหนังตะวันตก หรืองานคลาสสิกอย่าง ‘Seven Samurai’ เมื่อตัวละครรายนี้ทำตัวไม่ต่างไปจากมือปืนพเนจรอย่าง เชน หรือนักฆ่าวัยปลดเกษียณ ที่คลินต์ อีสต์วูดเล่นเอาไว้ใน ‘Unforgiven’
เพโดร พาสคาล ที่เล่นเป็นแมนดาลอเรียน ที่ต้องสวมหมวกเหล็กแทบทั้งเรื่อง ก็สามารถส่งผ่านอารมณ์ความรู้สึกผ่านเสียงออกมาได้ดี ตัวเรื่องก็ปิดจบลงในแบบที่ ทำให้ซีรีส์หลาย ๆ เรื่องได้อาย เพราะสามารถปิดเรื่องราวตั้งแต่ตรงนี้ หรือจะสานต่อไปอีกก็ได้ทั้งนั้น ที่หากเป็นอย่างแรก ก็พูดได้เหมือนกันว่า จบลงอย่างสมบูรณ์
แม้จะเดินเรื่องในแบบหนังตะวันตก แต่ลายเซ็นของหนัง ‘Star Wars’ ก็มีมาครบ ไม่ว่าจะเป็นการตัดภาพ ดนตรีประกอบที่ได้เบอร์ใหญ่ลุดวิก โกแรนส์สันมาทำ ก็มีทั้งกลิ่นอายของ ‘Star Wars’ และดนตรีประกอบหนังตะวันตกสปาเก็ตตีของ เซอร์จิโอ เลโอเน ซึ่งผสมผสานกันได้อย่างกลมกลืน
ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลทำให้ ‘The Mandalorian’ กลายเป็นงานที่นำเสนอโลกอีกด้านของ ‘Star Wars’ ได้อย่างสนุก และไม่หลุดไปจากแกแล็กซีที่พวกสกายวอลเกอร์ใช้ชีวิตไปไหนไกล
(THE MANDALORIAN ทาง ดิสนีย์พลัส ฮ็อตสตาร์)
โดย นพปฎล พลศิลป์ คอลัมน์ ชำแหละแผ่นฟิล์ม นิตยสารเอนเตอร์เทน ฉบับที่ 1333 ปักษ์แรก สิงหาคม 2564
ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านวิจารณ์หนังและเพลง ได้ด้วยการกดไลค์เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่