![](https://www.sadaos.com/wp-content/uploads/2013/03/spider-man-musical.jpg)
SPIDER-MAN: TURN OFF THE DARK: MUSIC FROM / Original Broadway Cast, Bono & The Edge
[Interscope Records/ Universal Music]
ก่อนที่ปีหน้าจะมีหนัง The Amazing Spider-Man มาให้ชมกัน บนเวทีละครของบรอดเวย์ ก็มีไอ้แมงมุมมาไต่ให้ชมกันไปแล้วก่อนหน้า ในชื่อ Spider-Man: Turn Off the Dark ซึ่งทำออกมาเป็นละครเพลง ที่ผู้เขียนเรื่องก็คือ จูลี่ เทย์มอร์ (ผู้กำกับ Frida และ Across the Universe) ร่วมกับ เกล็น เบอร์เกอร์ และโรเบอร์โต อากีร์เร่-ซาคาซ่า โดยเอาเรื่องราวในหนังสือการ์ตูนและหนังในปี 2002 มาดัดแปลง ซึ่งแน่นอนว่าการแสดงนั้นคงต้องตื่นตา ตื่นใจแน่ๆ เมื่อตัวละครต้องห้อยโหนโจนทะยานขนาดนี้
และสำหรับผู้ที่มารับผิดชอบในเรื่องของดนตรี-เพลงประกอบนั้น ก็หวือหวาไม่แพ้การแสดง เพราะเป็นถึงศิลปินระดับโลก ระดับหัวแถวของวงการเพลงในยุคนี้ ที่แม้จะไม่ได้มากันทั้งวงก็ตามแต่ก็เป็นคนที่เป็นแกนหลักของวงดนตรีที่ชื่อ ยูทู และสมาชิกที่มาร่วมกันทำงานละครเพลงเรื่อง Spider-Man: Turn Off the Dark ก็คือนักร้องนำ-โบโน และมือกีตาร์-ดิ เอดจ์นั่นเอง ซึ่งหากจะเรียกละครเพลงเรื่องนี้ว่าเป็น ร็อคมิวสิคัล ก็ย่อมไม่ผิดอะไร
เพราะคนทำงานคือครึ่งหนึ่งของยูทู ตัวเพลงในละครเพลงเรื่องนี้จะมีกลิ่น มีทางในแบบงานของยูทูอย่างเสียงกีตาร์ริธึมที่ได้ยินในเพลง NY Debut จะมีลักษณะการเล่น และซาวนด์ไม่ต่างไปจากที่ได้ยินในเพลงอย่าง Where the Street Have No Name เพลงฮิตของยูทู จากอัลบั้ม The Joshua Tree จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะอย่าง Picture This ก็ทำให้นึกถึงเพลงอย่าง A Beautiful Day
และวิธีการร้องของรีฟ คาร์นีย์ ที่เล่นเป็นปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ (และไอ้แมงมุม) ก็ใกล้เคียงกับวิธี-เทคนิคการร้องของโบโนอยู่เหมือนกัน
หากก็เป็นยูทูที่คลี่คลายมากกว่าที่ได้ยินในอัลบั้มปกติของพวกเขา รวมทั้งทำให้ได้เห็นขอบเขตการทำงานที่กว้างขวางไปจากที่เคยได้ยินในงานของยูทู โดยเฉพาะการทำงานที่เป็นมิวสิคัล และเป็นป็อปในตัว เช่น ใน Pull the Trigger ที่โบโนกับดิ เอดจ์ จับดนตรีร็อคแอนด์โรลล์มาใช้เล่าเรื่องแบบมิวสิคัลได้สนุก
หรืองานบัลลาดขายเสียงร้อง กับดนตรีน้อยชิ้น แบบ If The World Should End ซึ่งทำออกมาได้ไพเราะ เพราะพริ้งไม่ใช่น้อย ขณะที่ Sinistereo ก็มีอารมณ์หม่นๆ ในแบบงานกอธิคผสมได้อย่างน่าสนใจ แต่ที่ถือว่าแปลกหู และมีเสน่ห์ ก็คงเป็น A Freak Like Me Needs Company ที่ดนตรีเป็นดิสโก้ ฟังคึกคัก สนุก พร้อมทั้งมีอารมณ์ขัน ความน่ารักแฝงอยู่ในเพลง
ส่วน Rise Above ที่มีให้ฟังถึง 2 เวอร์ชั่นก็เป็นงานป็อปที่ติดหูได้ไม่ยาก เวอร์ชั่นแรกจะเป็นงานป็อปบัลลาดที่ตัวดนตรีมากันเยอะ มีเครื่องสายรองพื้นสวยงาม ส่วนอีกเวอร์ชั่นจะฟังเศร้ากว่า ด้วยความที่มาพร้อมกับดนตรีที่น้อยชิ้นกว่า แม้ในช่วงกลางเพลงจะมีการวางดนตรีเข้ามารองมากขึ้น หากก็อยู่ในโทนของความห่วงหา เสียงร้องฟังทอดยาว กินอารมณ์กว่าเยอะ
อัลบั้มปิดท้ายด้วย Turn Off the Dark งานบัลลาดฟังโหยไห้ นิ่ง เนิบ ที่เสียงบรรยายเข้ามาในช่วงท้าย
หลายๆ เพลงในอัลบั้ม หากตัดออกมาเป็นซิงเกิ้ล ทำโปรโมทกันดีๆ ก็อาจจะฮิตกันได้ ไม่ว่าจะเป็น Rise Above หรือ Picture This รวมไปถึง I Just Can’t Walk Away (Say It Now) ที่หากเรียบเรียงใหม่ก็ได้เพลงป็อปเนียนๆ แถมมาอีกเพลง
ตัวอัลบั้ม ตัวเพลงถือเป็นงานป็อป พร้อมฮิต แต่ที่น่าสนใจก็คือ ด้วยโทนเพลงประมาณนี้ ละครเพลงเรื่องนี้ น่าจะเดินไปในสายโรแมนติก มากกว่าจะหวือหวาอย่างเห็นได้ชัด
จากคอลัมน์ สะกิดร่องเสียง โดย นพปฎล พลศิลป์ นิตยสาร Entertain 1103
ปักษ์แรก 1 มกราคม 2012