รำลึกถึงคีธ โอลเซน ผู้อยู่เบื้องหลังงานอมตะของ Fleetwood Mac และอีกหลายศิลปิน

แม้รายละเอียดของงาน หรือว่าแนวทางดนตรีของศิลปินอย่าง Fleetwood Mac, ออซซี ออสบอร์น หรือว่า Foreigner รวมไปถึง Scorpions จะมีความแตกต่างกัน แต่ในผลงานบางชุดของศิลปินเหล่านี้ก็มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันนั่นคือ อยู่ภายใต้การดูแลการผลิตของคีธ โอลเซน ซึ่งจากโลกนี้ไปแล้วเมื่อ 9 มีนาคม 2563 ที่บ้านในเจนัว, เนวาดา สหรัฐอเมริกา ด้วยวัย 74 ปี

โดยเคลลี แคสตาดี ลูกสาวของโอลเซนเผยกับสื่อว่า เขาจากไปจากอาการหัวใจหยุดเต้น

แม้งานที่ทำให้เป็นที่รู้จักและจดจำมากที่สุด ไม่พ้นการทำงานกับฟลีทวูด แมค แต่โอลเซนมีโอกาสทำงานให้กับศิลปินมากมายตลอดชีวิตการทำงานอันแสนยาวนาน นอกจากจากที่เอ่ยชื่อมาแล้ว ก็ยังมี the Grateful Dead, Santana, แพ็ท เบนาทาร์, Whitesnake, ริค สปริงฟิลด์ ฯลฯ และหลายๆ อัลบัมที่เขานั่งอยู่หลังแผงมิกเซอร์นั้นก็คือ งานระดับตำนาน โอลเซนเป็นคนโปรดิวซ์อัลบัม Buckingham Nicks ที่สตีวิี นิคส์กับลินด์ซีย์ บัคกิงแฮม ทำร่วมกันเมื่อปี 1973 และหลังเปิดเพลงหนึ่งในอัลบัมชุดนี้ให้มิค ฟลีทวูดฟัง นิคส์กับบัคคิงแฮมก็ถูกชวนเข้าวงฟลีทวูด แม็ค

“มิค ฟลีทวูดชวนเราร่วมวงฟลีทวูด แม็ค ตอนที่เรายังไม่มีใครรู้จัก” นิคส์เผยกับดิ อ็อบเซิร์ฟเวอร์ในปี 2011 “คีธ โอลเซนเปิดเพลงในอัลบัม Buckingham Nicks ให้เขาฟัง แล้วบอกว่า ลินด์ซีย์กับฉันจะไปเป็นคู่”

โอลเซนเกิดที่ ซูกซ์ ฟอลล์ส, เซาธ์ ดาโคตา เริ่มทำงานดนตรีตั้งแต่อายุไม่มากในแวดวงดนตรีมินนีอาโพลิสกับศิลปินแถบนั้น ท้ายที่สุดก็กลายเป็นมือเบสของวง the Music Machine ซึ่งปี 1966 มี “Talk Talk” เป็นเพลงฮิต ช่วงปลายยุค ‘60s โอลเซนย้ายมาลอส แองเจลีส และได้งานซาวนด์ เอ็นจิเนียร์ที่ห้องอัดระดับตำนาน ซาวนด์ ซิตี สตูดิโอส์ “ผมได้รับการฝึกฝนในเรื่องไฟฟ้ามากพอจะรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นใต้โต๊ะ (มิกเซอร์), ฝึกฝนทางดนตรีมากพอที่จะรู้ว่าอะไรควรจะเป็นบนโต๊ะและที่อีกด้านของกระจก” เขากล่าว “แล้วจากนั้นโอกาสที่จะได้เริ่มทำงานกับวงบางวงก็เริ่มต้น”

โอกาสแรกที่มาถึงเป็นการทำงานกับสองนักดนตรีที่ประสบการณ์ไม่มากนัก สตีวี นิคส์และลินด์ซีย์ บัคกิงแฮม โอลเซนโปรดิวซ์อัลบัมแรกของทั้งคู่เมื่อปี 1973 ที่ใช้ชื่อตัวเองเป็นชื่อชุด ซึ่งเขาจำได้ดีว่าทั้งสองคนนี้มีความพิเศษเพียงใด “มีความแตกต่างของเสียงร้องเกิดขึ้น ยามที่เสียงของทั้งคู่เข้ามาเชื่อมต่อกัน ซึ่งมันมีความเฉพาะตัวมากๆ” โอลเซนอธิบาย “คุณไม่เคยได้ยินอะไรแบบนั้นมาก่อน และผมไม่คิดว่า นับจากนั้นก็มีให้ได้ยินนะ ทั้งสองเสียงที่ร้องแบบนั้น และเสียงที่ออกมาอย่างที่ได้ยิน มันก็ด้วยเหตุผลเดียว พวกเขาเกิดมาเพื่อร้องร่วมกัน”

ปี 1974 มิค ฟลีทวูดใช้ซาวนด์ ซิตี บันทึกเสียงอัลบัมชุดใหม่ของฟลีทวูด แม็ค ขณะที่มาดูสตูดิโอโอลเซนก็เปิดเพลงในอัลบัม Buckingham Nicks ให้ฟัง “เขาเปิดเพลงชื่อ Frozen Love เพื่อแสดงความโดดเด่นของตัวเองในการทำงานให้รู้ และเสียงจากห้องอัดที่นี่เป็นยังไง” บัคกิงแฮมเล่าถึงอดีต “มิคนั่งลงฟังเพลง แล้วสิ่งหนึ่งก็พาไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง ในเวลาสั้นๆ สตีวีกับผมก็กลายเป็นสมาชิกของวง”

โอลเซนโปรดิวซ์อัลบัม Fleetwood Mac ในปี 1975 ที่มี “Rhiannon,” “Say You Love Me” และ “Landslide” เป็นเพลงฮิต โดยอัลบัมขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ทและขายในสหรัฐอเมริกาได้ถึง 7 ล้านก็อปปี ความสำเร็จครั้งนี้เปิดประตูให้โอลเซนเป็นหนึ่งในโปรดิวเซอร์ฮ็อทของวงการ ได้ทำงานกับศิลปินใหญ่ อย่าง ไวท์สเนค, ซานตานา, ริค สปริงฟิลด์, REO Speedwagon, ออซซี ออสบอร์น, Bad Company, โจ วอลช์ และ Jethro Tull และอัลบัมชุดสำคัญๆ เช่น Terrapin Station (1977) ของเดอะ เกรทฟูล เดด, Double Vision (1978) ของ Foreigner, Crimes of Passion (1980) ของแพ็ท เบนาทาร์, Three Lock Box (1982) ของแซมมี ฮาการ์, No Rest for the Wicked (1988) ของออสบอร์น และอัลบัมชื่อเดียวกับวงของไวท์สเนคเมื่อปี 1987 ที่มี “Here I Go Again” และ “Still of the Night” เป็นเพลงฮิต

ตลอดชีวิตการทำงาน โอลเซนโปรดิวซ์อัลบัมมากกว่า 120 ชุด และมีอัลบัมที่ขายได้ในระดับแผ่นแพลทินัมมากกว่า 24 ชุด รวมยอดขายผลงานที่เขาอยู่เบื้องหลังได้ถึง 125 ล้านหน่วย คิดเป็นเงินกว่าพันล้านดอลลาร์ โดยเขาได้รับรางวัลแกรมมีถึง 6 ครั้ง

โดย นพปฎล พลศิลป์ จากเรื่อง รำลึกถึงคีธ โอลเซน ผู้อยู่เบื้องหลังงานอมตะของ Fleetwood Mac และอีกหลายศิลปิน คอลัมน์ ดนตรีมีเหตุ หนังสือพิมพ์ ไทยโพสท์ วันที่ 19 มีนาคม 2563

[one_half][/one_half][one_half_last][/one_half_last]