
เคิร์ค ดักลาส หนึ่งในนักแสดงผู้ยิ่งใหญ่ของฮอลลีวูดเจ้าของชีวิตนอกจอที่แทบจะมีสีสันพอๆ กับในจอ และเจ้าของบทบาทอมตะในหนังอย่าง Spartacus และ Champion เสียชีวิตแล้วด้วยวัย 103 ปี เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
“ด้วยความเศร้า ผมและบรรดาพี่ๆ น้องๆ ขอแจ้งให้ทราบว่า เคิร์ค ดักลาสจากไปแล้วในวันนี้ ด้วยวัย 103 ปี” ไมเคิล ดักลาส ลูกชายและนักแสดงเจ้าของรางวัลตุ๊กตาทองบอกไว้ในอินสตาแกรม “สำหรับคนทั้งโลก เขาคือตำนาน เป็นนักแสดงจากยุคทองของภาพยนตร์ที่ชีวิตดำเนินไปด้วยดี เป็นผู้มีมนุษยธรรมที่มุ่งมั่นในความยุติธรรม และสิ่งที่ต่างๆ ที่เขาเชื่อก็กลายเป็นการสร้างมาตรฐานให้พวกเราทุกคนได้ใช้เป็นแรงบันดาลใจ แต่สำหรับผมกับโจลและปีเตอร์ เขาคือพ่อผู้เรียบง่าย สำหรับแคเธอรีนเขาคือพ่อสามีผู้แสนมหัศจรรย์ เป็นคุณปู่ผู้แสนดีสำหรับบรรดาหลานๆ เหลนๆ และสำหรับแอนน์ – ภรรยา เขาคือสามีคนดีที่สุด”
ไมเคิล ดักลาสเผยด้วยว่าชีวิตในช่วงสุดท้ายของพ่อ “เป็นไปด้วยดี และท่านก็ทิ้งมรดกตกทอดมากมายไว้ในภาพยนตร์ ที่จะคงอยู่ไปอีกนานเพื่อให้ผู้คนหลากหลายชั่วอายุได้รับรู้ และดำรงอยู่ในประวัติศาสตร์ ด้วยฐานะของผู้มีจิตใจเอื้ออารี ที่ทำงานช่วยเหลือสาธารณะและนำสันติสุขมาสู่โลก” ไมเคิลกล่าวเสริมเป็นครั้งสุดท้ายด้วย “ขอให้ผมได้จบด้วยคำพูดที่บอกกับท่าน ในวันคล้ายวันเกิดครั้งสุดท้าย ซึ่งจะเป็นความจริงไปชั่วกาลนาน พ่อ ผมรักพ่อมาก และภูมิใจอย่างที่สุดที่ได้เป็นลูกพ่อ”
ดักลาสดูจะเป็นยิ่งกว่าผู้นำ ถึงแม้ว่าเขาจะทำตัวแบบนั้นเป็นประจำก็ตาม นักแสดงอมตะรายนี้คือคนที่น่าประทับใจ เป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ เป็นตำนานของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และสำหรับบางคน ด้วยอายุที่ยืนยาว เขาคือหนึ่งในผู้ที่ยังมีลมหายใจไม่กี่คนสุดท้าย ที่สามารถเชื่อมยุคต่างๆ ของฮอลลีวูดในอดีตเข้าด้วยกันได้
หากก็มีไม่บ่อยครั้งนักที่จะเห็นเขาเป็นฮีโรแบบธรรมดา เพราะตัวละครของดักลาสมักจะเต็มไปด้วยเฉดของสีเทา ขณะที่บุคลิกแบบแมนๆ ก็มักจะปกคลุมท่วงท่าแบบคนเจ้าความคิด มีการศึกษา หรือว่ามีเล่ห์เหลี่ยมแบบนักธุรกิจของเขาไปจนหมด ในการให้สัมภาษณ์กับโรเจอร์ อีเบิร์ทนักวิจารณ์ชื่อดังผู้จากไป ดักลาสตำหนิพอลีน คาเอล นักวิจารณ์ที่เข้าใจเขาผิดๆ “อย่าจับผมตรึงกางเขนเพราะว่าความคิดที่คุณมีต่อดาราทั้งหลาย” เขากล่าว “ผมไม่ได้เริ่มต้นด้วยการเป็นดาราภาพยนตร์ คุณหลงจากเส้นทางของความเป็นมนุษย์ ที่อยู่เบื้องหลังภาพลักษณ์ของดาราภาพยนตร์”
ดักลาสเกิดในครอบครัวที่เป็นผู้อพยพชาวรัสเซีย และพาตัวเองกลายเป็นนักแสดงหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง ด้วยความโดดเด่นจากหน้าตาและรูปร่างแบบนักกีฬา ซึ่งเป็นลักษณะแบบเดียวกันกับอีกหนึ่งตำนานในวงการภาพยนตร์ เบิร์ท แลนคาสเตอร์ ซึ่งรับบทนำร่วมกับดักลาสในหนังถึง 7 เรื่อง ซึ่งในจำนวนนั้นก็คืองานคลาสสิคอย่าง Gunfight at O.K. Corral และหนังระทึกขวัญ-การเมือง Seven Days in May
ความสามารถทางด้านกีฬาที่มี ทำให้ดักลาสได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเซนต์ ลอว์เรนซ์ ด้วยทุนนักกีฬามวยปล้ำ โดยที่ต้องทำงานเป็นคนสวนหรือนักการภารโรงเพื่อหาเงินมาใข้เพิ่มเติม จากนั้นก็ได้ทุนเข้าเรียนที่ สถาบันศิลปะการแสดงในนิว ยอร์ค และตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่นี่ ซึ่งมีเพื่อนร่วมสถาบันอย่าง เบ็ตตี เพิร์สค์ ที่ตอนหลังกลายเป็นลอเรน เบคอลล์ และไดอะนา ดิลล์
ปี 1941 ดักลาสได้เล่นละครบรอดเวย์เป็นครั้งแรก และอีกสองปีต่อมาเขาก็แต่งงานกับดิลล์ มีลูกชายด้วยกันสองคนคือ ไมเคิลกับโจล ก่อนจะหย่ากันในปี 1951
หลังปลดประจำการจากราชนาวีเมื่อจบสงครามโลกครั้งที่สอง ดักลาสตั้งใจจะกลับไปเล่นละครเวที แต่เพื่อนสมัยเรียนอย่างเบคอลล์ แนะนำเขาให้กับฮัล วัลลิส ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ในฮอลลีวูด ทำให้ดักลาสตัดสินใจมุ่งหน้าสู่ฝั่งตะวันตกของอเมริกาแทนที่จะเป็นตะวันออก
หลังปรากฏตัวด้วยบทที่ไม่น่าสนใจจำนวนหนึ่ง Champion ที่เขารับบทเป็นนักมวยที่ไร้ความปราณี ที่เหยียบผู้คนรอบๆ ตัว เพื่อส่งตัวเองให้ขึ้นไปสูงที่สุด ก็ทำให้ดักลาสได้เข้าชิงรางวัลออสการ์
เขายังแสดงให้เห็นถึงขอบเขตในการทำงานที่หลากหลาย ซึ่งอยู่เหนือกว่าที่ดาราภาพยนตร์ทั้งหลายในช่วงแรกๆ ของระบบสตูดิโอมี แล้วก็ไม่ต่างไปจากแลนคาสเตอร์ ที่จัดการสร้างความมั่นคงทางอาชีพให้กับตัวเองตอนกลางยุค 1950s ด้วยการตั้งบริษัททำหนังของตัวเองขึ้นมา ใช้เป็นข้อได้เปรียบทั้งในเรื่องหาบทที่น่าสนใจให้กับตัวเอง ทั้งหาวัตถุดิบชั้นดี รวมไปถึงคนทำงานที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์อย่าง ผู้กำกับสแตนลีย์ คูบริค ซึ่งได้ร่วมงานกันในหนังระดับตำนานอย่าง Paths of Glory และ Spartacus
บางทีดักลาสอาจรู้สึกสบายใจ หรืออย่างน้อยก็รู้สึกดีถ้าไม่ดีกว่า กับการรับบทตัวแสบ มากกว่าการเล่นเป็นวีรบุรุษตามมาตรฐานทั่วไป ด้านที่แข็งแกร่งของเขาแสดงออกมาให้เห็นโดยเริ่มต้นจากหนังฟิล์มนัวร์คลาสสิค Out of the Past ในปี 1947 ตามด้วย Champion, The Bad and the Beautiful และ The Vikings
ที่สำคัญก็คือเขาเป็นนักแสดงที่ถนัดทั้งการเล่นบทในหนังแอ็คชันและดรามา แล้วผสมผสานท่าทางที่ไม่ยินดียินร้ายกับอะไรด้วยอารมณ์ขัน ดักลาสได้ชิงออสการ์จากการเล่นเป็น วินเซนท์ แวน โก๊ะห์ ใน Lust for Life, Champion และ Bad and the Beautiful แต่ไม่เคยได้รับรางวัล จนปี 1996 เขาถึงได้รับรางวัลออสการ์เกียรติยศ
การต่อสู้ครั้งสำคัญหนหนึ่งของดักลาสก็คือ เมื่อเขาให้มือเขียนบทที่ถูกขึ้นบัญชีดำ ดัลตัน ทรัมโบ มีชื่อในเครดิทของหนัง Spartacus ซึ่งกลายเป็นข้อถกเถียงกันในเวลาต่อมาว่า เหตุการณ์นี้เป็นประเด็นสำคัญหรือเกี่ยวข้องกับการที่บัญชีดำถูกทำลายขนาดไหน ดักลาสบอกเอาไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติของตัวเองว่า มันเป็นการแสดงให้เห็นชัดเจนว่า หน้าที่ของเขาก็คือการทำงานกับพวกพรสวรรค์ตัวพ่อ เขายังจ้างทรัมโบมาเขียนบทหนึ่งในหนังที่ดีที่สุดของเขา Lonely Are the Brave ซึ่งดักลาสรับบทเป็นคาวบอยยุคใหม่อีกด้วย
สตูดิโอรู้สึกกังวลกับการให้เครดิทบรรดาผู้เขียนบทที่อยู่ในบัญชีดำ ซึ่งแต่ละคนต่างก็ดิ้นรนหางานและให้ชื่อของตัวเองได้อยู่ที่ด้านหน้า นักแสดงที่อยู่ในสถานภาพเดียวกัน บางครั้งก็พบว่าตัวเองไม่มีใครจ้าง เช่น เอ็ดเวิร์ด จี. โรบินสัน ที่ตอนหลังก็ได้กลับมาทำงานอีกครั้ง
“เพื่อนๆ ทุกคนบอกกับผมว่า ผมโง่มากและจะโยนหน้าที่การงานของตัวเองทิ้ง มันเป็นความเสี่ยงสำคัญ” ดักลาส เขียนไว้ในหนังสือ The Ragman’s Son
ด้วยความสำเร็จระดับหนังบล็อคบัสเตอร์ของ Spartacus และ Exodus หนังของอ็อตโต พรีมิงเกอร์ หนังอีกเรื่องที่ทรัมโบเขียนบทในปี 1960 บัญชีดำก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากสารบบ ดักลาสเองก็มีหนังสือที่บอกเล่าถึงช่วงเวลานั้น I Am Spartacus!: Making a Film, Breaking the Blacklist ออกมาด้วย
ช่วงปลายยุค ‘60s ดักลาสพบว่าหน้าที่การงานของตัวเองค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากนักแสดงจากยุคเก่าของฮอลลีวูด แต่อย่างน้อยเขาก็มีหนังที่ประสบความสำเร็จออกมาเป็นระยะๆ เช่น The Fury (1978) และ The Man From Snowy River (1982).หากที่ไปได้สวยมากกว่ากลับเป็นงานโทรทัศน์ ที่เขากลายเป็นดารานำในหนังสำหรับฉายทางโทรทัศน์เช่น Victory at Entebbe (1976) และ Amos (1985)
ดักลาสยังอุทิศตัวให้กับงานการกุศลอย่างเต็มที่ เขาก่อตั้งมูลนิธิดักลาสร่วมกับแอนน์ บายเดนส์ – ภรรยา ที่เขาแต่งงานด้วยในปี 1954 เพื่อทำงานเกี่ยวกับผู้สูงอายุที่ถูกล่วงละเมิดและคนไร้บ้าน นอกจากนี้ดักลาสยังได้ชื่อว่าเป็นคนที่พูดตรงไปตรงมาและเล่าเรื่องได้สนุก กระทั่งหลังจากปี 1996 ที่เส้นเลือดในสมองตีบทำให้การพูดของเขาบกพร่อง เขาก็มีงานเดี่ยวไมโครโฟนขึ้นมาได้ แต่โรคร้ายก็ทำให้เขายากจะพูดให้คนอื่นเข้าใจได้ง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังส่งผลกระทบทางจิตใจกับเขาด้วย
“ผมต้องยอมรับว่า ตัวเองไม่ได้กล้าหาญอย่างที่เป็นในหนัง ผมก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง และก็เหมือนคนอื่นๆ ที่เส้นเลือดในสมองตีบตัน ผมต้องกลายเป็นคนซึมเศร้าอย่างหนัก” เขาบอกกับนิตยสารพีเพิลในปี 1997
ในหนังสืออัตชีวประวัติ The Ragman’s Son ที่ออกมาเมื่อปี 1988 ของดักลาส ล้วนเต็มไปด้วยเรื่องเล่าสุดคลาสสิคในฮอลลีวูด ที่มีทั้งเรื่องความสัมพันธ์กับนักแสดงหญิงที่รู้จักกันดี รวมไปถึงการแก้แค้น โดยเดอะ นิว ยอร์ค ไทม์สบอกว่า การอ่านหนังสือเล่มนี้ เหมือนกับการ “รับรู้เรื่องราวที่เขาเล่าบนโต๊ะมื้อค่ำมาตลอดหลายปี”
ดักลาสกับภรรยาคนที่สอง บายเดนส์มีลูกชายด้วยกันสองคนคือ ปีเตอร์และเอริค แต่เอริคซึ่งดำเนินรอยตามพ่อด้วยการเป็นนักแสดง เสียชีวิตจากการใช้ยาเสพติดเกินขนาดเมื่อปี 2004
อย่างไรก็ตามเคิร์ค ดักลาสเป็นคนที่พยายามมองไปข้างหน้าอยู่เสมอ ท่ามกลางสารพัดรางวัลที่ได้รับ ซึ่งมีทั้งออสการ์เกียรติยศ, ลูกโลกทองคำ, รางวัลเกียรติยศจากเคนเนดี เซนเตอร์ และการใช้ชื่อเขาเป็นชื่อรางวัลของงานเทศกาลภาพยนตร์ซานตา บาร์บารา เขายังถูกบันทึกชื่อในฐานะหนึ่งในตำนานภาพยนตร์ผู้ยิ่งใหญ่ ของหอภาพยนตร์แห่งสหรัฐอเมริกา โดยอยู่ในอันดับ 17 ของฝ่ายชาย และน่าจะเป็นคนที่โด่งดังที่สุด โดยฉากจากหนัง Spartacus ที่บรรดาเพื่อนๆ ขบถของเขาถูกจับโดยกองทัพโรมัน พากันลุกขึ้นยืนเพื่ออ้างตัวว่า “ข้าคือสปาร์ตาคัส!” เมื่อถูกสั่งว่าใครชี้ตัวสปาร์ตาคัส จะรอดชีวิตคือฉากคลาสสิคฉากหนึ่งโลกภาพยนตร์
แม้ก่อนหน้าและนับจากนี้ จะมีนักแสดงอีกมากมายหลายคนได้รับบทในแบบเดียวกับที่ดักลาสเล่นและทำได้ดี แต่สำหรับผู้ชายคนนี้ มีเพียงแค่หนึ่งเดียว!!
โดย ลุงทอย คอลัมน์ อำลา-อาลัย นิตยสารเอนเตอร์เทน ฉบับที่ 1289 ปักษ์หลัง กุมภาพันธ์ 2563