ANNABELLE COMES HOME: แม้จะเป็นแค่ฉากเปิดตัวของเอ็ดและลอร์เรน วอร์เรน ในหนัง The Conjuring เรื่องแรกเมื่อปี 2013 แต่ตุ๊กตาผีแอนนาเบลล์ก็มีเสน่ห์และพลังมากพอที่จะทำให้มีหนังตอนแยกของตัวเองตามออกมาในปี 2014 แล้วก็สานต่อด้วย Annabelle: Creation ที่เรื่องราวเกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์ในหนังภาคแรกของตัวเอง และ The Conjuring และในปีนี้ แอนนาเบลล์ก็กลับมาอีกเป็นหนที่สาม กลายเป็นหนังเรื่องแรกในจักรวาล The Conjuring ที่เดินหน้ามาได้ไกลที่สุด
หนนี้เรื่องราวของหนังกลับไปสานต่อจากที่ทิ้งไว้ใน The Conjuring ภาคแรก เมื่อเอ็ดและลอร์เรนนำตุ๊กตาแอนนาเบลจากผู้เคราะห์ร้าย เพื่อมาเก็บไว้ในห้องเก็บของลี้ลับ-อาถรรพ์ทั้งหลายที่บ้านของตัวเอง ซึ่งทั้งคู่ใช้ชีวิตอยู่กับจูดี ลูกสาว ที่โดนเพื่อนๆ มองว่าเป็นตัวประหลาด แต่แล้วก่อนถึงคืนวันเกิดของจูดีไม่กี่วัน ทั้งคู่ต้องไปต่างเมือง ปล่อยจูดีอยู่กับแมรี อัลเลน – พี่เลี้ยงซึ่งเป็นสาวไฮสคูล กับแดเนียลา – เพื่อนที่ไม่ได้รับเชิญของแมรี ที่เดินทางมาหาด้วยจุดประสงค์บางอย่าง ที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความระทึกขวัญในบ้านของตระกูลวอร์เรน เมื่อบรรดาวิญญาณที่สิงสู่ในสิ่งของต่างๆ ที่อยู่ในห้องเก็บของถูกปลุกขึ้นมา และหนึ่งในนั้นก็คือ ตุ๊กตาแอนนาเบลล์ที่สามี-ภรรยาวอร์เรนบอกว่า เป็นของที่น่ากลัวที่สุดในห้อง
หนังเปิดเรื่องได้ดี เมื่อเริ่มด้วยเอ็ดกับวอร์เรน ที่ดูมีบทบาทมากกว่าที่เคยเห็นในหนังตอนแยกเรื่องอื่น ทำให้รู้สึกถึงความใกล้ชิดหรือเป็นเรื่องราวในจักรวาลสยองของ The Conjuring มากกว่าหนังเรื่องที่ผ่านมา แม้เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ได้มากมายและตัวละครหลักตัวจริงของเรื่องก็คือลูกสาวของทั้งคู่กับแมรีและเพื่อนของเธอ แต่การได้เห็นทั้งสองคนโดนตุ๊กตาแอนนาเบลล์ลองของระหว่างนำกลับมาเก็บที่บ้าน แม้จะเป็นเพียงช่วงสั้นๆ แต่แฟนๆ ที่ตามกันมาตั้งแต่หนังต้นทางก็น่าจะแฮปปี อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่แค่หนังตีกินจากชื่อThe Conjuring ที่สิ่งโยงใยกันนั้นช่างบางเบาเหลือเกิน แบบที่ The Curse of La Llorona, The Nun หรือกระทั่ง Annabelle: Creation เป็น
ต่อให้เวลาหลังจากนี้ จะเป็นเวลาของเด็กๆ แต่การที่เรื่องเกิดขึ้นในบ้านของพวกเขา รวมทั้งแสดงให้เห็นฤทธิ์เดชของสารพัดสิ่งลี้ลับที่อยู่ในห้องเก็บของอาถรรพ์ของบ้าน ก็ทำให้หนังมีสัมผัสของ The Conjuring ที่ชัดที่สุดในกลุ่มหนังตอนแยกของจักรวาลนี้
เรื่องราวแม้ไม่ได้มีอะไรที่ซับซ้อน ทุกอย่างสามารถคาดเดาได้ ซึ่งไม่ต่างไปจากหนังตอนแยกในจักรวาลอื่นๆ หากแกรี ดอเบอร์แมน ผู้เขียนบท/ กำกับ ก็ทำให้หนังมีเนื้อหนังอยู่บ้างด้วยการใส่เรื่องปมปัญหาในจิตใจของตัวละคร รวมไปถึงเรื่องปัญหาของเด็กๆ ที่ถูกเพื่อนๆ คุกคามในโรงเรียน ถึงจะไม่ได้หนักแน่นจริงจังมากมาย แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้หนังไม่ใช่แค่งานผีหลอกคน คนหนีผี และไม่ได้ทำลายการเล่นสนุกกับอารมณ์ของผู้ชม จากการพาตัวละครไปอยู่ในสถานการณ์ชวนขนหัวลุกแบบหนังสยองขวัญ แม้ลูกเล่นต่างๆ จะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ทั้งการเล่นกับพนักโซฟาหรือว่าใต้เตียง พยายามใช้การสร้างบรรยากาศ รวมถึงการทอดเวลาในสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งช่วยทำให้รู้สึกพรั่นพรึงหรือลุ้นระทึก ยกระดับตัวเองให้เป็นมากกว่าหนังตุ้งแช่ที่เล่นกับเสียงและภาพที่มักจะโผล่มาในจังหวะที่ผู้ชมไม่รู้เนื้อรู้ตัว รวมไปถึงการพาตัวละครไปอยู่ในสถานการณ์ที่จนมุมก็ไม่ถึงกับขาดความสมเหตุสมผลจนดูตลก
แต่หนังก็สามารถไปไกลกว่านี้ได้ หากจังหวะในการเล่าเรื่องดีกว่าที่เป็นอยู่ ทั้งการใส่อารมณ์ขัน ทั้งการใช้เวลาเล่นกับสถานการณ์ที่ตัดสลับไปมา อย่างแรกดูเหมือนว่ามีที่ผิดที่ผิดทาง และไม่เข้ากับบรรยากาศของสถานการณ์อย่างเห็นได้ชัด ส่วนอย่างหลังการที่หนังแช่อยู่กับบางสถานการณ์นานเกินไป กว่าจะส่งไปให้อีกสถานการณ์มารับ โดยเฉพาะช่วงท้ายที่ตัวละครแต่ละรายต้องเจอกับเรื่องร้ายๆ เพียงลำพัง แทนที่จะกดดันผู้ชมได้อยู่หมัด ก็กลายเป็นความตื่นเต้นที่ไม่ได้เหนือกว่าฉากก่อนๆ หน้าสักเท่าไหร่ หรือขาดความเข้มข้นในระดับทำให้หลังไม่ติดพนัก
หากก็พอลุ้น พอสนุกได้ ไม่ถึงกับเสียดายเวลา ขณะที่ตัวหนังก็ไม่เสียความเป็นงานสยองขวัญไปไหน
โดย นพปฎล พลศิลป์ คอลัมน์ ชำแหละแผ่นฟิล์ม นิตยสารเอนเตอร์เทน ฉบับที่ 1283 ปักษ์แรก กรกฎาคม 2562