BLACKHAT: หนึ่งในผู้กำกับที่มีลายเซ็นชัดเจน โดยเฉพาะงานด้านภาพ ไม่ว่าจะเป็นมุมกล้อง โทนของภาพ หรือ การตัดต่อ ขณะที่เรื่องราว ไมเคิล มานน์ จะสนุก และเพลินกับการหยิบเรื่องในโลกอาชญากรรมมานำเสนอเป็นพิเศษ
กับ Blackhat มานน์จะพาไปพบกับ นิค แฮธาเวย์ แฮ็คเกอร์หนุ่มที่ถูกดึงตัวจากเรือนจำ มาตามล่าแฮ็คเกอร์ ที่ใช้ความสามารถก่ออาชญากรรม ซึ่งเรียกว่า Blackhat ตามชื่อหนัง ที่หากทำสำเร็จเขาก็จะได้รับอิสรภาพเป็นผลตอบแทน
และหนังก็นำเสนอเรื่องราวชิงไหวชิงพริบของสองฝั่งฝ่ายเป็นหลัก มีเรื่องความรัก และความสัมพันธ์ของตัวละครเข้ามาแทรกเป็นระยะ แบบได้จังหวะจะโคน ทำให้หนังมีครบทั้งบุ๋น ทั้งบู๊ ถึงการเล่าเรื่องในสไตล์ของมานน์ จะหนืดๆ อยู่บ้าง แต่ก็ดูขึงขัง จริงจัง หนักแน่น แม้ความสมเหตุสมผล จะย่อหย่อน เมื่อบทมีช่องโหว่ และหาทางออกให้ตัวละครแบบง่ายๆ อยู่หลายครั้ง
นักแสดงแต่ละคน อาจจะดูสวย-หล่อเกินบท แต่ความเข้มข้นของการเล่าเรื่อง ก็ทำให้ลืมไปได้สนิท ซึ่งหากย้อนดูงานในอดีตของมานน์ มาดและรัศมีของตัวละครก็เป็นลายเซ็น เป็นเสน่ห์ของเขา นอกเหนือไปจากงานด้านภาพ ที่เหมือนพาคนดูเดินทางไปกับตัวละคร และแน่นอน ฉากแอ็คชันที่ดูสมจริง โดยมีฉากดวลแบบที่เห็นกันใน Heat ให้ได้ลุ้นอยู่ 2 ฉากใหญ่ๆ แล้วปิดท้ายด้วยฉากไคลแม็กซ์ที่ดูใหญ่ จริงจัง และ ลุ้นไม่ใช่เล่น
หากที่เด่นมากๆ ก็คือ การสร้างภาพการเจาะเข้าระบบ ที่ทำให้รู้สึกถึงข้อมูล และโค้ดต่างๆ ที่ไหลผ่านเส้นสายสารพัด เข้าไปทำลาย ทะลุทะลวง ระบบต่างทางอินเตอร์เน็ท ซึ่งแสดงเห็นได้ชัดว่า แม้วัยจะร่วงโรย แต่ไอเดีย กับความคิดสร้างสรรค์ของผู้กำกับที่ทำงานเดิร์นๆ มาตั้งแต่ยุค 80s ตอนเป็นโปรดิวเซอร์หนังโทรทัศน์รายนี้ ยังไม่หนีหายไปไหน เช่นเดียวกับการหยิบจับเรื่องราวอาชญากรในยุคใหม่ที่ต่างไปจากเดิม มาเล่นได้อย่างไม่เขอะเขิน
โดย นพปฎล พลศิลป์
ให้กำลังใจด้วยการกด Like เพจสะเด่าส์ได้ ที่นี่