FANTASTIC FOUR: อีกหนึ่งหนังซูเปอร์ฮีโร ที่ถูกนำมารีบูทใหม่ ในแบบที่ “พยายาม” อย่างเต็มที่ ที่จะแตกต่าง ตั้งแต่ลักษณะของตัวละคร
ขณะที่การเล่าเรื่องก็ “พยายาม” จะฉีกตัวออกไปเป็นหนังไซ-ไฟ “พยายาม” ทำให้หนังดูจริงจัง ลึกลับ ที่ในบางช่วงก็มีส่วนของการเป็นงานเขย่าขวัญเข้ามาผสม หากคงเขย่าไม่เข้าที่สักเท่าไหร่ และจอช แทรงค์ผู้กำกับ ก็คงเหมือนจะลืมไปว่า ที่เขากำลังทำอยู่คือ หนังซูเปอร์ฮีโร ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ยาวนานเกินครึ่งเรื่องไปแล้ว (อย่างน้อยก็ในแง่ของความรู้สึก) ที่ได้เห็นตัวละครเป็นซูเปอร์ฮีโรกัน
และกว่าจะได้เห็นพระเอกของเรื่องปะทะกับตัวร้ายมันก็แทบจะเป็นช่วงเสี้ยวเวลาสุดท้ายของหนัง เมื่อเทียบกับความยาวยืดของกระบวนการต่างๆ เพื่อสร้างอุปกรณ์ชิ้นสำคัญ
หนังรู้สึกยาวนานราวกับ ความยาวของ Avengers X 2 ทั้งๆ ที่กินเวลาฉายเพียงแค่ร้อยนาที ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ความ “พยายาม” จะวางตัวเป็นหนังไซ-ไฟ + ซูเปอร์ฺฮีโรนั้น “ล้มเหลว” ที่สำคัญหนังเองก็ไม่รู้จะไปทางไหน ไซ-ไฟ แบบเขย่าขวัญ มันก็ไม่เข้ากับเรื่อง และทำไม่ถึง, หนังซูเปอร์ฮีโรก็ไม่ใช่, จะหวังงานดรามาในส่วนความสัมพันธ์ของตัวละครก็อ่อนเกินไป, ส่วนน้ำหนักในเรื่องเกี่ยวกับทางการทหาร มันก็บางซะยิ่งกว่า Jurassic World ด้วยซ้ำ
หลายๆ คนอาจจะมองว่า หนังกำลังจะปูเรื่องราวไปสู่ภาคต่อไป แต่หากต้องใช้เวลาปูกันถึง 100 นาที และเนิบเนือย หนืดนาบ แบบนี้ จะมีสักกี่คนที่อยากรู้ว่าไอ้ที่ปูไว้เนี่ยว่าจะเป็นไปได้ถึงไหน
เป็นได้แค่ความ “พยายาม” ที่รู้สึกแฟนทาสทิคอย่างมาก เพราะสามารถทำให้หนังที่ไม่ได้เลิศเลออะไรอย่าง หนังชุดแรก กลายเป็น The Dark Knight ไปเลยเมื่อเอามาเทียบกัน
โดย นพปฎล พลศิลป์
สามารถกดไลค์ Like เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่