IF BEALE STREET COULD TALK: จากความรักในความทรงจำจากวัยเด็ก ที่ทำให้ลืมคืนวันอันโหดร้าย ของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีต่อเพื่อนชายของเขาเอง ใน Moonlight แบร์รี เจนกินส์ พามาพบกับความรัก ที่สวยงามไม่แพ้กัน แต่ต้องเจอกับอุปสรรคสำคัญจากอคติในเรื่องของสีผิว ทำให้ชีวิตรักที่น่าจะเติบโตงอกงามไปได้ด้วยดีกลับแคระแกร็น ดิ้นรนต่อสู้อย่างหนัก เพื่อที่จะยืนต้นต่อไปได้
ทิชกับฟอนนี เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ยังเด็ก และเมื่อเติบโตก็คบหาเป็นคู่รักกัน แม้หน้าที่การงานที่มีจะไม่ได้แสดงให้เห็นถึงอนาคตที่สวยสดของพวกเขา แต่ความรักของทั้งคู่ก็ผลิดอกออกผลได้อย่างสวยงาม จนกระทั่งฟอนนีถูกจับในข้อหาข่มขืนวิคตอเรีย โรเจอร์ส ทั้งๆ ที่โดยความเป็นจริงแล้ว แทบไม่มีความเป็นไปได้เลยว่า ฟอนนีจะก่อเหตุดังกล่าว แล้วกลับมาที่ห้องพักได้ทันเวลาตามที่ทิชเป็นพยานการพบเห็น แต่ด้วยความใกล้ชิดทำให้คำให้การของเธอไม่มีน้ำหนัก ฟอนนีต้องถูกจองจำระหว่างพิจารณาคดี และชีวิตรักมากสีสันของทั้งสองคนที่กลบความหม่นมัวของชีวิตที่เป็นก็หายไป
สถานการณ์ของพวกเขาย่ำแย่ยิ่งขึ้น เมื่อทิชตั้งท้อง และเหยื่อในการข่มขืน ที่ยืนยันว่าฟอนนีคือผู้กระทำหายตัวไป ทำให้การสืบสวน, พิจารณาคดีในชั้นศาลยืดเยื้อออกไปอีก และบางทีอนาคตของฟอนนีที่รวมไปถึงชีวิตรักของเขากับทิช อาจจะต้องอยู่ภายใต้ความมืดมนไปตลอดกาล
ภายใต้เรื่องราวความรักของหนุ่ม-สาวที่ดูสวยงาม โรแมนติค เต็มไปด้วยความอบอุ่นของ If Beale Could Talk ก็คือประเด็นเรื่องการเหยียดผิว ที่เกิดจากอคติและความเกลียดชัง จนชีวิตของหนุ่ม-สาวคู่หนึ่ง หรืออาจจะรวมถึงครอบครัวของทั้งคู่ด้วยก็ได้ อยู่ในสภาวะง่อนแง่น เสี่ยงต่อการพังทะลาย
ที่เมื่อถอยออกมามองภาพรวมทั้งหมดของหนัง ซึ่งมีที่มาจากงานประพันธ์ชื่อเดียวกันของเจมส์ บอลด์วิน If Beale Street Could Talk สามารถแสดงให้เห็นถึงปัญหาของการเหยียดผิว ชิงชังเชื้อชาติเผ่าพันธุ์อื่น ที่ทำให้สิ่งที่เรียกได้ว่าเป็น ‘ความสวยงาม’ ของชีวิต ที่ต้องอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ดิ้นรนเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ที่พอจะมองเห็นอนาคตมีแสงสว่างรออยู่หายไป กระทบกับความรู้สึกที่อยู่ข้างในของผู้ชม มากกว่าเป็นเพียงการลงมือ ที่โหดร้ายยากจะเกินรับไหว
แต่ยังทำให้เรื่องการเหยียดผิวกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว และเกี่ยวพันกับสิ่งที่ไม่น่าจะไปทำร้ายใครได้ อย่าง ความรัก
ตัวหนังไม่มีภาพของความรุนแรงให้เห็น และปราศจากสถานการณ์บีบคั้นเร้าอารมณ์แบบสุดๆ แต่ยิ่งหนังนำเสนอความรักของทิชและฟอนนี ในแบบเขามีแค่เธอ เธอมีแค่เขา และเรามีอนาคตที่ดีรออยู่ ได้อย่างละเมียดละไม เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ความโหดร้าย ความชิงชังจากการเหยียดผิวที่ทำให้ภาพเหล่านั้นหายวับไปกับตาก็ยิ่งรุนแรง หรือกระทบความรู้สึกของผู้ชมเพิ่มมากขึ้น
เมื่อบทสรุปสุดท้ายของหนัง ด้วยภาวะจำยอมในแบบที่ต้องเลือกของตัวละคร ก็ตอกย้ำถึงความไม่เท่าเทียมกันของตัวบทกฏหมาย ที่กลายเป็นการเลือกปฏิบัติในที ซึ่งแสดงถึงการกัดเซาะที่ลงลึกจนยากจะเยียวยาวของปัญหานี้
แล้วเมื่อมองดูเหยื่ออีกรายที่เป็นคนอีกผิวสี ซึ่งเดินทางมาเพื่อหวังชีวิตที่ดีกว่า ในผืนดินของประเทศที่ว่ากันว่าเต็มไปด้วยโอกาส เป็นหัวแถวของโลกเสรี แต่ไปๆ มาๆ กลับถูกทำร้าย และกลายเป็นเครื่องมือในการทำลายชีวิตของทิชและฟอนนี
สิ่งที่เห็นบนยอดสุดก็คือ มนุษย์สีผิวหนึ่งที่เต็มไปด้วยอคติ และความเคียดแค้น ที่ทำลายชีวิตของคนอื่นด้วยมูลเหตุเล็กๆ
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า หนังจะชี้หน้าตำหนิคนผิวหนึ่งไปซะทั้งหมด อย่างน้อยๆ ก็มีตัวละครหลายๆ รายในฝั่งสีผิวนี้ ที่ยืนหยัดช่วยเหลือ เคียงข้าง คู่รักหนุ่ม-สาว แต่ด้วยระบบที่เป็น ทำให้พวกเขาเหล่านั้นทำอะไรไม่ได้มากกว่าที่เห็น
ไม่ใช่แค่ความโดดเด่นจากการนำเรื่องการเหยียดผิว มาสอดแทรกผสมผสานกับเรื่องราวโรแมนติคได้อย่างกลมกลืน และทำให้รู้สึกว่าปัญหานี้ที่จริงแล้ว เป็นเรื่องใกล้ตัวและชอนไชไปถึงทุกส่วนของชีวิต เมื่อมีการใช้เครื่องมือทางสังคมอื่นๆ เข้ามาประกอบ ไม่ว่าจะเป็นศาสนา ที่ทำให้คนผิวสีหนึ่ง ยึดมั่น เชื่อมั่น กับการเป็นคนชั้นล่างที่ถูกปลูกฝังมายาวนาน จนยอมรับสภาพไปในที่สุด แบร์รี เจนกินส์ ยังสร้างบรรยากาศเฉพาะให้กับหนัง ที่ยามหวาน ยามสวยงาม ก็จับใจ ละเมียดละไมเหลือเกิน แต่เมื่อถึงคราวที่ทนทุกข์ หมองหม่น ภาพบนจอ ดนตรีประกอบ ที่ถูกนำเสนออย่างมีสไตล์ และอาจจะทำให้นึกถึงแสง-สี และองค์ประกอบต่างๆ ในหนังหว่องการ์ไว ก็กลายเป็นความอ้างว้าง หดหู่ อย่างที่สุดได้เหมือนกัน
ที่หากรวบรวมไปถึงที่ได้เห็นจากหนังรางวัลออสการ์ Moonlight เจนกินส์คือผู้กำกับอีกคนหนึ่งซึ่งมีสไตล์เฉพาะตัวในการเล่าเรื่อง เป็นผู้กำกับที่มี ‘คลาสส์’ ในการจัดองค์ประกอบต่างๆ ที่ช่วยให้หนังมีอารมณ์บางอย่าง ที่จับความรู้สึกของผู้ชมได้อยู่หมัด ได้อย่างละเมียดละไม มีรสนิยม
เช่นเดียวกับการเลือกสรรหรือจัดการกับนักแสดง เพื่อให้พวกเขาแหละเธอมอบการแสดงที่เข้ากับการเล่าเรื่องของตัวเองได้อย่างกลมกลืน โดยที่ไม่ลดทอนศักยภาพของแต่ละคนลงไปเลย และยิ่งขับเน้นความสามารถของเขาและเธอมากขึ้นไปอีก อย่างที่ใน If Beale Street Could Talk สามารถสัมผัสได้จากการแสดงของเรจินา คิง ที่เล่นเป็นแม่ของทิช ที่หาทางช่วยลูกเขยและประคับประคองชีวิตรักของลูกสาวให้เดินหน้าต่อไปได้
หนังอาจจะไม่ได้จบอย่างแฮปปี เอนดิง ที่หากบอกว่าเป็นการจบแบบหดหู่ก็คงไม่ผิดอะไร แต่ภายใต้สิ่งเหล่านั้น ผู้ชมก็สามารถสัมผัสได้ถึงแสงสว่างแห่งความหวังอย่างเต็มที่เช่นกัน
โดย นพปฎล พลศิลป์ คอลัมน์ ชำแหละแผ่นฟิล์ม นิตยสารเอนเตอร์เทน ฉบับที่ 1275 ปักษ์แรกมีนาคม 2562