LIKE FATHER, LIKE SON: ครอบครัวสถาปนิก ที่มีลูกชายวัย 6 ขวบ ซึ่งตัวพ่อที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น และดูเก่งไปซะทุกอย่าง พยายาม “ปั้น” อย่างดี แต่ลูกก็ดูไม่ค่อยได้ดั่งใจ จู่ๆ เขาก็รู้ความจริงว่า ลูกที่เลี้ยงมาถึง 6 ปี ไม่ใช่ลูกที่แท้จริง เพราะเกิดสลับตัวกันหลังคลอดในโรงพยาบาล ทำให้เขาพยายามจะเอาเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองกลับมาอยู่ในการดูแล จากครอบครัวร้านขายเครื่องไฟฟ้าเล็กๆ ที่ดูไม่มีอะไรเทียบกับเขาติด แตกต่างกันสุดขั้วทั้งฐานะ การใช้ชีวิต และการเลี้ยงดูลูก และการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ก็ได้ทำให้เขารู้ว่า เรียนรู้ และยอมรับสิ่งสำคัญในชีวิต
ตัวเรื่องทำเป็นบีบอารมณ์ คั้นน้ำตากันสุดๆ ได้สบายๆ แต่หนังเลือกที่จะนำเสนอแบบนิ่งๆ เรียบง่าย ให้ข้อมูล ให้รายละเอียดให้คนดูได้เก็บ ได้เอาไปคิด และซึมลึก แบบค่อยๆ นวดๆ จนถึงที่สุดด้วยตัวเอง เหตุการณ์ในหนัง, การตัดสินใจของตัวละคร ต่างๆ มีเหตุผล มีผล ปูเอาไว้อย่างแนบเนียน หนังเยี่ยมมากๆ ในการวางแบ็คกราวนด์ต่างๆ ทั้งในเรื่องการนำเสนอความแตกต่างของสองครอบครัว ที่ส่งผลมาถึงความรู้สึก นึกคิด และการแสดงออกของเด็กๆ รวมไปถึงที่มาของวิธีคิด การใช้ชีวิตของตัวพ่อผู้เป็นสถาปนิก ก็ไม่ได้ถูกละเลย
ขณะที่ภายใต้ความเรียบง่ายที่ถูกนำเสนอ ก็มาพร้อมกับอะไรมากมายที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นนัยเปรียบเทียบ หรือมุมเสียดสีต่างๆ เมื่อทุกอย่างถูกนำเสนออย่างหนักแน่น บทสรุปที่เห็นในหนังจึงไม่ใช่แค่เพียง สมควรจะเป็นอย่างที่เป็นแล้ว ก็ยังเป็นบทสรุปที่สวยงามเช่นกัน
ภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่น่าจดจำ และเป็นหนึ่งในงานหนังที่ดีที่สุดของปีนี้โดยไม่ต้องสงสัย ที่แสดงให้เห็นว่า ในความเรียบง่าย ถ้าเล่าเรื่องได้ และถึง มีของทุกอย่างครบ ก็ได้หนังที่มาพร้อมความซาบซึ้ง และมีสีสันในตัว โดยที่ไม่ต้องแต่งแต้มอะไรให้วุ่นวายมากความ
โดย นพปฎล พลศิลป์